อย่างที่เราทราบกันดีว่า ‘ยาเสพติด’ ที่ถูกเรียกกันอยู่ทุกวันนี้ ไม่เคยส่งผลดีอะไรให้กับสุขภาพร่างกาย และวิถีชีวิตของผู้เสพเลย นอกจากจะสูญเสียความเป็นตัวตนแล้ว ซ้ำร้ายไปยิ่งกว่านั้นก็คือหมดอนาคตในสังคม และอาจใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ภายในห้องขัง
ซึ่งในหลายกรณีของผู้ที่เบนเข็มทิศชีวิตมาเสพยา นั่นก็เป็นเพราะหมดหนทางในการแก้ปัญหา จึงเลือกที่จะให้ยาเสพติดกลืนกินชีวิตตนไปอย่างช้าๆ…
Kaylee Muthart
เรื่องราวของ Kaylee Muthart วัย 20 ปี จากรัฐเซาท์แคโรไลนา ประเทศสหรัฐอเมริกา กลายเป็นพาดหัวข่าวใหญ่ไปทั่วประเทศ หลังจากที่เธอทำการควักนัยน์ตาของตัวเองออกทั้งสองข้าง สืบเนื่องมาจากผลของการเสพยาไอซ์ถึงขั้นประสาทหลอน
Muthart ได้เปิดเผยเรื่องราวของตัวเองผ่านเว็บไซต์ Cosmopolitan ว่าเธอดรอปเรียนตั้งแต่อายุ 17 ปี เนื่องจากมีปัญหาหัวใจเต้นผิดจังหวะ ทำให้ขาดเรียนบ่อยจนผลการเรียนย่ำแย่
เธอจึงตัดสินใจที่จะหยุดเรียน ดีกว่าปล่อยให้มีผลการเรียนแย่ติดตัว พร้อมกับออกหางานทำเพื่อเก็บเงินไปเรียนวิทยาลัยด้านชีววิทยาทางทะเลแทน
แต่แล้วในช่วงอายุ 18 ปี เธอเข้าสู่สังคมติดเหล้าและเสพกัญชาบ่อยครั้ง จนเมื่ออายุ 19 ปี เธอได้เสพกัญชากับคนรู้จักที่บ้านของเขา และมีอาการเมาที่ผิดแปลกไปจากเดิม ซึ่งในครั้งนั้นมันทำให้เธอรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากกว่าแต่ก่อน
จนเธอคิดว่ากัญชาที่เสพเข้าไป มีส่วนผสมของโคเคนหรือยาบ้า โดยที่ไม่เคยมองกัญชาเป็นสารเริ่มต้นที่ทำให้เข้าสู่วังวนยาเสพติดมาก่อน จนกระทั่งสารที่เธอไม่เคยต้องการได้เริ่มเข้ามาทำลายชีวิตเธอแล้ว
เธอเริ่มเสพติดจนเสียการเสียงาน ความสัมพันธ์ระหว่างแฟนหนุ่มที่คบมา 2 ปี เริ่มเสื่อมถอยจนพังทลาย สุดท้ายแล้วเธอก็เลือกที่จะหาทางออกด้วยการเสพหนักขึ้น ทั้งเหล้าทั้งกัญชาและยาแก้เครียด เธอเริ่มมีอาการป่วยทางจิตหนักขึ้น จนถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์…
แม้จะมีอาการย่ำแย่ คุณหมอก็พยายามหาหนทางรักษาให้เธอตามวิถีทางการแพทย์ แต่เธอเลือกใช้สารกระตุ้นภายนอกเพิ่มเติม ที่ยิ่งทำให้เธออ่อนแอขึ้นเรื่อยๆ
จากการเสพกัญชาตามปกติก็ใช้ยาบ้าควบคู่ไปด้วย จนเริ่มมีอาการเมาและเห็นภาพหลอนหนักขึ้น และในระหว่างที่เมาก็อ่านคัมภีร์ไบเบิ้ลที่ยิ่งตอบสนองต่อความต้องการเข้าใกล้พระเจ้าไปด้วย
Keely Muthart และคุณแม่ Katy Tompkins
แม้เธอจะพยายามเลิกหลายครั้ง แต่กลับกลายเป็นจากการใช้ควบกับกัญชา สู่การสูดเข้าทางจมูกและฉีดตรงเข้าเส้นเลือด เมื่อผู้เป็นแม่มาเห็นก็รู้สึกหมดหนทางช่วยเหลือลูกสาว
แต่คุณแม่พยายามจะพาลูกสาวเข้ารับการบำบัด ทำการพูดคุยกับลูกและอัดเสียงเก็บเอาไว้ ถึงขั้นที่หลุดคำพูดว่า ‘ไม่อยากอยู่บนโลก’ เพื่อใช้เป็นหลักฐานจากศาลส่งตัวลูกไปยังสถานบำบัด แต่ในวันถัดมา Muthart ก็นำยามาเพิ่มอีกและในคืนนั้นเอง เธอก็เสพในปริมาณมากกว่าที่เคยเสพ
Kaylee Muthart ในสภาพปัจจุบัน
.
หลังจากที่เธอฉีดยาเข้าเส้นเลือดในปริมาณมหาศาล Muthart เห็นภาพหลอนและเชื่อว่าเธอต้องเสียสละดวงตาทั้งสองข้าง เพื่อเป็นการช่วยรักษาโลกอันสวยงามใบนี้… และเธอไม่ลังเลที่จะควักนัยน์ตาตัวเองออกมา
อาการปวดชาไปทั่วร่างกายจากการเสพยา ทำให้เธอใช้นิ้วชี้ นิ้วกลางและนิ้วโป้ง สอดเข้าไปในเบ้าเพื่อควักนัยน์ตาออกมาได้ จนกระทั่งต้องให้เจ้าหน้าที่หลายคนมาช่วยกันห้ามปรามเธอ ก่อนที่จะทำให้สลบและส่งตัวไปรับการรักษาเป็นการเร่งด่วน
ท้ายที่สุดแล้ว ผลของการกระทำของเธอ ก็ทำให้สูญเสียการมองเห็นไปอย่างถาวร พร้อมกับอาการปวดหัวอย่างรุนแรง ซึ่งต้องนอนพักรักษาตัวให้เบ้าตาที่เหลืออยู่นั้นอยู่ในสภาพที่คงตัว (ไร้นัยน์ตา) และรอให้สารเสพติดในร่างกายถูกชำระล้างออกไป
Muthart ถูกส่งตัวต่อไปยังสถานบำบัดทางจิต เธอรู้สึกกลัวเป็นอย่างมากว่าจะได้รับการดูแลอย่างไร แต่ถึงแม้เธอจะมองไม่ได้ ก็สามารถสัมผัสได้ว่าสถานที่แห่งนี้ยังคงต้อนรับเธออยู่
ทั้งกลุ่มผู้ป่วย เสียงเพลง สัตว์สำหรับการบำบัด และเจ้าหน้าที่ผู้คอยดูแล และทำให้เธอได้เรียนรู้ที่จะยอมรับโลกแห่งความเป็นจริงได้อีกครั้ง…
ที่มา : cosmopolitan, buzzfeed, news.com.au, independent
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.