โรงพยาบาลเปรียบได้เหมือนดั่งความหวังสุดท้าย ที่จะทำให้ร่างกายของคนเรากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่ก็ยังคงมีในบางกรณีที่การรักษากลับทำให้ชีวิตของผู้ป่วยย่ำแย่ลงกว่าเดิม
เรื่องราวของผู้ป่วยหญิงวัยรุ่นอายุ 15 ปี จากฮ่องกง ที่มีอาการปวดหัว ปวดคอ และรู้สึกว่าร่างกายด้านขวามีความอ่อนแรงผิดปกติ และเริ่มต้นเข้ารับคำแนะนำทางด้านการรักษากับทางโรงพยาบาล United Christian Hospital ในวันที่ 31 ตุลาคม 2017
จากนั้นในวันที่ 9 พฤศจิกายน 2017 แพทย์ได้วินิจฉัยว่าเธอประสบกับอาการไขสันหลังอักเสบเฉียบพลัน อาจจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งหรือเซลล์ประสาททั้งหมดที่ได้รับความเสียหาย และได้รับการรักษาด้วยสเตอรอยด์ในทันที แต่กลับไม่เห็นความคืบหน้าใดๆ
แพทย์จึงแนะนำให้รับการรักษาด้วยวิธี Plasmapheresis (การฟอกเลือด) กระบวนการรักษาที่จะนำพลาสมาที่เป็นพิษออกจากร่างกาย ทำให้สะอาดหมดจนก่อนจะนำกลับเข้าสู่ ระบบการไหลเวียนเลือดในร่างกายอีกครั้ง
ในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2017 เธอเข้ารับการรักษาด้วยวิธีดังกล่าว และหลังจากที่แพทย์ได้ทำการสวมสายสวนหลอดเลือดไปที่ลำคอ เธอเกิดอาการช็อกส่งผลทำให้เลือดไหลไปกองอยู่ที่บริเวณหน้าอก
ทางทีมแพทย์ได้ทำการเอกซเรย์ และทำให้ครอบครัวของผู้ป่วยมั่นใจว่ายังอยู่ในระดับที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามทีมแพทย์ได้ตัดสินใจย้ายผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาล Queen Elizabeth Hospital เพื่อรับการรักษาเลือดที่สะสมค้างอยู่ในบริเวณหน้าอกแทน
ในขณะที่ทีมแพทย์ทีมใหม่จะทำการเจาะเส้นเลือดดำของผู้ป่วย กลับพบว่าเส้นเลือดแดงของเธอได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง จากการสวมสายสวนหลอดเลือดที่คอจากโรงพยาบาลแห่งแรก
และยิ่งร้ายแรงไปกว่านั้น เธอได้รับความทรมานจากอาการขาดเลือดเลี้ยงสมองส่วนขวา ทำให้แขนและขาด้านซ้ายเกือบจะเป็นอัมพาต ซึ่งทีมแพทย์ของโรงพยาบาล Queen Elizabeth Hospital ได้เตือนไว้ว่า มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นอัมพาตอย่างถาวร
ทางด้านนาง Sophia Chan Siu-chee เลขานุการด้านอาหารและสุขภาพของฮ่องกง ได้เข้ามาให้ความช่วยเหลือทางครอบครัวผู้ป่วยหญิงรายนี้แล้ว พร้อมจะทำการสอบสวนภายในของโรงพยาบาลที่เกี่ยวข้อง และจะให้ผู้เชี่ยวชาญจากภายนอกเข้าร่วมสืบสวนด้วย
นาย James To Kun-sun สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ฮ่องกง หนึ่งในผู้ให้ความช่วยเหลือกับครอบครัวผู้ป่วยหญิงรายนี้ ได้ออกมากระตุ้นให้โรงพยาบาล United Christian Hospital แสดงความรับผิดชอบด้วยการจ่ายค่าชดเชย
“เรารู้สึกว่าพวกเขาควรยอมรับความผิดและความประมาทในส่วนที่พวกเขาทำ แต่กลับกลายเป็นพวกเขามองว่าเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นได้ทั่วไป…
ขนาดแพทย์อาวุโสผู้เป็นที่ปรึกษาให้กับโรงพยาบาล QE ก็ไม่เคยเห็นความผิดพลาดที่ร้ายแรงขนาดนี้มาก่อน และมันก็เป็นเหตุการณ์ที่สามารถหลีกเลี่ยงได้”
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.