ตั้งแต่มีการเปิดตัวระบบสตรีมมิ่งแบบถูกลิขสิทธิ์ในไทยไม่ว่าจะเป็น iflix, Netflix, Hollywood HD และอีกมากมาย ด้วยอานิสงส์ของระบบเหล่านี้ทำให้พวกแผ่นหนังเถื่อนและการดูซีรีส์เถื่อนในบ้านเราลดลงไปบ้าง ซึ่งในระบบสตรีมมิ่งเหล่านี้ก็ทำให้เราได้ดูหนังชัดๆ ซับที่ไม่ได้แปลแบบนรกๆ (แม้จะมีหลุดๆ บ้างก็ตามที)
เพื่อเป็นการสนับสนุนของถูกลิขสิทธิ์ #เหมียวฟิ้น ก็เลยลองสมัครบริการของ Netflix แบบรายเดือนดู เพราะเห็นว่ามีหนังและซีรีส์แปลกๆ ใหม่ๆ ที่หาดูจากที่อื่นไม่ได้เยอะพอสมควร และจากการตะลุยดูแบบมั่วๆ ซั่วๆ ของเรา ก็เลยอยากแนะนำ 4 ซีรีส์ + 2 หนัง ที่หาดูได้จากใน Netflix มาให้ทุกคนดูกัน มีทั้ง อเมริกัน ญี่ปุ่น เกาหลีเลยทีเดียว
1. Million Yen Women (13 ตอนจบ)
มันเป็นซีรีส์ญี่ปุ่นที่เดินเรื่องเอื่อยๆ นิดนึง ถ้าใครชอบดูซีรีส์ที่เดินเรื่องเร็วๆ พ่อเอกหล่อๆ มีหักมุมเยอะๆ และไม่มีภูมิต้านทานกับความเอื่อยของมัน ก็หยุดอ่านได้เลยครับ
Million Yen Women ว่าด้วยเรื่องของนักเขียนต๊อกต๋อยคนหนึ่ง “มิชิมะ ชิน” ที่มีพ่อเป็นฆาตกร จู่ๆ วันหนึ่งก็มีผู้หญิงโผล่มาที่บ้านของเขา 5 คน โดยทุกคนบอกเหมือนกันหมดว่าได้รับจดหมายปริศนาเชิญชวนให้มาอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ทุกคนต้องทำเหมือนกันคือจ่ายค่าเช่าเป็นเงิน 1 ล้านเยนทุกเดือน ต้องอยู่ในบ้านเดียวกัน กินอาหารเย็นร่วมกัน และห้ามถามอะไรกับพวกเธอเด็ดขาด
ตัวซีรีส์มีทั้งหมด 13 ตอนจบ มันจะค่อยๆ เล่าว่าบรรยากาศโดยรอบเป็นยังไง พระเอกของเราตกอับแค่ไหน ผู้หญิงทั้ง 5 คนมีพื้นเพยังไง มันจะเล่าไปแบบช้าๆ แล้วค่อยเฉลยปมไปทีละหน่อยๆ ในตอนต่อๆ ไป เช่นว่า ทำไมต้องเป็น 1 ล้านเยน ทำไมต้องห้ามถาม แล้วใครเป็นคนส่งจดหมายไปให้พวกเธอ ผมเองยังเกือบถอดใจในตอนที่ 5-6 แต่ก็ทนดูมาเรื่อยๆ มันจะมาพีคเอาตอน 8-9 นี่แหละ ใครไม่ชอบแนวนี้ก็อาจจะไม่ชอบตั้งแต่ตอนแรกๆ เลย แต่ข้อดีของมันก็คือพล็อตมันแปลกประหลาดดี
ส่วนเรื่องการแสดง อยากจะบอกว่ามันไม่มีอะไรหวือหวาเลย แสดงกับเนิบๆ ตัวละครก็ดูจะแบนๆ หน่อย มีระเบิดอารมณ์ของพระเอกนางเอกในตอนจบแค่ตอนเดียว ซึ่งผมว่ามันเป็นซีนที่ดีมาก ที่เหลือก็ไปลองดูกันครับ
2. Altered Carbon (10 ตอนจบ)
เนื้อเรื่องมันว่าด้วยโลกอนาคตที่มนุษย์เราจะมี “สแตค” (คิดซะว่ามันคือชิปอะไรสักอย่าง) ฝังอยู่ที่ท้ายทอยของทุกๆ คน เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายของเราเสื่อมสลายหรือได้รับอันตรายแก่ชีวิต เราสามารถถอดเอาสแตคออกไปเสียบกับร่างใหม่และกำเนิดมาเป็นเราอีกรอบได้ นั่นเท่ากับว่ามนุษย์จะเข้าใกล้คำว่า “อมตะ” มากๆ
ทีนี้เรื่องมันเริ่มต้นขึ้นเมื่อพระเอกของเรา “โคแวช” อดีตเอ็นวอย (คล้ายๆ พวกกองกำลังต่อต้านลับๆ ที่ถูกฝึกฝนร่างกายจนเก่งเหนือมนุษย์) ถูกมหาเศรษฐีคนหนึ่งเรียกให้ตื่นขึ้นในอีก 200 กว่าปีข้างหน้า โดยการนำสแตคของเขาไปสวมในร่างของชายคนหนึ่ง เพื่อให้เขามาช่วยสืบว่าใครคือคนที่ฆ่าตัวเอง แลกกับเงินและการลบล้างความผิดในอดีตที่เขาเคยก่อไว้
ตัวซีรีส์เป็นแนวไซไฟ-ไซเบอร์พังก์ คุณจะได้เห็นโลกอนาคตหม่นๆ สไตล์ Blade Runner สุดอลังการยิ่งใหญ่ไม่แพ้หนังจอเงินเลย บวกกับฉากแอ็กชั่นมันส์ๆ ทั้งการสู้ระยะประชิดและการใช้อาวุธ หรือแม้แต่การต่อสู้ในโลกเสมือน (โลกภายในจิตใต้สำนึกของสแตค)
และด้วยความที่พล็อตมันเปิดกว้างมากๆ มันทำให้คุณได้เห็นตัวละครสลับบทบาทกันผ่านการใส่ “สแตค” ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าวันหนึ่งแฟนของคุณตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่เป็นอีกเพศหนึ่ง คุณจะรักเขาเหมือนเดิมไหม? ส่วนนี้ซีรีส์ใส่เข้ามาเยอะมากด้วย มันชวนให้เราตั้งคำถามกับศีลธรรมในตัวเองและการมีตัวตนอยู่บนโลกนี้ของเราเหมือนกัน ลองไปดูกันครับ
ปล. เรื่องนี้เรต R นะครับ มีฉากโป๊เปลือยเยอะมาก พอๆ กับ Game of Thrones เลย แล้วก็เลือดเยอะ ใช้วิจารณญาณในการรับชมนะครับ
3. คันทาโร่ เซลแมนนักชิมของหวาน (12 ตอนจบ)
มันว่าด้วยเรื่องของพ่อหนุ่ม “คันทาโร่” เซลแมนนิตยสารฉบับหนึ่ง ที่ดูภายนอกอาจจะดูเหมือนคนที่เคร่งเครียดกับการทำงาน แต่งตัวเนี๊ยบ พูดน้อยมากกว่าทำ (งาน) แต่สาเหตุที่เขาเลือกมาทำงานที่นี่ก็เพราะว่าจะได้มีเวลาแว๊บออกไปตระเวนกินขนมหวานตามสถานที่ต่างๆ โดยที่คนในออฟฟิศเองก็ไม่เคยได้เห็นอีกตัวตนหนึ่งเหมือนกัน
สิ่งที่ทำให้ซีรีส์มันสนุกก็เพราะว่าในแต่ละตอนมันจะพาคนดูไปตระเวนกินกับพระเอกด้วย ละด้วยความที่เป็นคนบ้าขนมหวาน ตัวพระเอกเองก็จะบรรยายถึงสรรพคุณของร้าน กรรมวิธีการทำ และตำนานของขนมหวานนั้นๆ จนเราเองก็ได้ความรู้ไปด้วย แถมอยากออกไปกินตามรอยร้านที่พระเอกไปกินเลย
ละที่ขาดไม่ได้เลยคือรีแอ็กชั่นของพระเอก ที่มันเวอร์สัสๆ เวอร์เหี้ยๆ เวอร์ระดับเดียวกับการ์ตูน “เจปัง” บวกกับแอ็กติ้งแบบการ์ตูนๆ ของพระเอกด้วยแล้ว ยิ่งเหมือนว่าเราไม่ได้กำลังดูซีรีส์อยู่เลย
4. The Punisher (13 ตอนจบ)
The Punisher เล่าเรื่องของ แฟรงก์ แคสเซิล อดีตนาวิกโยธินผู้ศรัทธาในระบบ ศรัทธาในองค์กร ศรัทธาในผู้คน จนวันหนึ่งเขาได้สูญเสียภรรยาและลูก ทำให้ทุกสิ่งที่เขาเคยเชื่อมาตลอดพังทลายลง และหันไปทำงานเป็นกรรมกรก่อสร้างธรรมดาๆ
แต่แล้ววันหนึ่งก็ดันมีเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องเขาไปพัวพันกันอาชญากรรมและปืนอีกครั้ง แถมยังมีบุคคลลึกลับพยายามติดต่อมาหาเพื่อขอให้ช่วยเปิดโปงเรื่องชั่วร้ายที่องค์กรของเขาได้ทำเอาไว้
เนื่องจากตัวพระเอกเป็นนาวิกโยธิน ตลอดทั้งเรื่องเราจะได้เห็นการต่อสู้มันส์ๆ ที่ดิบเถื่อนตลอดเวลา มีเลือดและความรุนแรงแฝงอยู่ในทุกๆ ตอน ใครที่ต้องการความบ้าระห่ำเราขอแนะนำเรื่องนี้เลย
ปล. The Punisher เป็นซีรีส์ฮีโร่ที่มีเรื่องราวเชื่อมกับซีรีส์ Marvel เรื่องก่อนๆ เช่น Daredevil, Jessica Jones, Luke Cage, Iron Fist แต่ก็เชื่อมกันแค่บางๆ เท่านั้น หากว่าคุณขี้เกียจจะไปตามดูเรื่องเหล่านั้นล่ะก็ จะเริ่มจาก The Punisher เลยก็ได้นะ
5. Forgotten (หนังตอนเดียวจบ)
เรื่องย่อๆ ก็คือ พระเอกอาศัยอยู่ในครอบครัวกับพ่อแม่และพี่ชาย วันหนึ่งพี่ชายดันหายตัวไป ทำให้ต้องตามหากันให้วุ่นวาย เวลาผ่านไป 19 วันถึงกลับมา แต่พี่ชายดันจำอะไรที่เกิดขึ้นในระหว่าง 19 วันนั้นไม่ได้เลย แต่ที่แปลกไปกว่านั้นก็คือพี่ชายของพระเอกดันมีพฤติกรรมที่แปลกไป พ่อแม่ที่อยู่ด้วยกันก็มีพฤติกรรมที่แปลกไปทีละนิดๆ (เล่าได้เท่านี้แหละ เล่ามากกว่านี้จะสปอยล์แล้ว)
คือเรื่องมันดำเนินไปแบบหนังสืบสวนสอบสวน มีความทริลเลอร์ลึกลับตลอดเวลา หนังมีจุดหักมุมที่เฉลยตั้งแต่กลางเรื่องว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ต่อจากนั้นหนังจะเน้นไปที่อารมณ์ของตัวพระเอกและพี่ชาย และจะขยี้อารมณ์ไปเรื่อยๆ ดูแล้วก็อึดอัดดี เพราะแม้จะเฉลยปมตั้งแต่กลางเรื่อง แต่คุณจะเดาทางมันไม่ได้อยู่ดีว่า “แรงจูงใจ” คืออะไร ดูจบแล้วให้ความรู้สึกอึนๆ หน่อย แต่ถ้าคุณดูแนวๆ Old Boy ได้ เรื่องนี้ก็จิ๊บๆ แหละ
6. Bright (หนังตอนเดียวจบ)
หนังเซตอัปให้โลกยุคปัจจุบันมีเอล์ฟ ออร์ค เซนธอร์และตัวละครในเทพนิยาย อาศัยอยู่ร่วมกันในสังคม โดยมีเรื่องราวของเวทมนตร์และไม้กายสิทธิ์เป็นตำนานที่หายสาบสูญไปนาน
ตัวเอกของเรื่องคือเจ้าหน้าที่ตำรวจ แดริล วาร์ด (วิล สมิธ) และคู่หูออร์ค นิก จาโคบี้ (โจเอล เอเกอร์ตัน) ที่ดันพาตัวเองเข้าไปพัวพันกับตำนานที่หายสาบสูญไปนาน ทำให้พวกเขาทั้ง 2 ถูกกลุ่มคนลึกลับตามล่าตัว
หนังเปิดมาด้วยแนวคิดที่แปลกประหลาดดี เอาเทพนิยายมาผสมกับหนังตำรวจหักเหลี่ยม แล้วใส่ประเด็นการเหยียดเผ่าพันธุ์เข้าไปด้วย แต่น่าเสียดายที่หนังทำไม่ถึงสักอย่าง มันผสมปนเปกันไปหมด แต่อย่างน้อยก็มีดีที่ฉากแอ็กชั่นล่ะนะ เพราะยังดูสนุกอยู่
ในส่วนที่หนังใส่ประเด็นการเหยียดเข้ามา ทำให้คนดูรู้สึกว่าออร์คนั้นเป็นชนชั้นล่างของสังคมคล้ายกับคนผิวสีในโลกความเป็นจริง ในขณะที่ วิล สมิธ ที่เป็นคนผิวสีกลับกลายเป็นชนชั้นบนที่ได้รับความไว้วางใจและมีสิทธิพิเศษราวกับเป็นคนขาว
นอกจาก 2 ดารานำข้างต้นแล้วยังมีดาราสาวคนนึงที่ผมชอบมากๆ คือ นูมิ ราเปซ ที่มารับบทร้ายในเรื่องนี้ด้วย แต่ไม่รู้ว่าเพราะการกำกับของตา เดวิด เอเยอร์ หรือเปล่า ทำให้การแสดงของเธอ (รวมถึงทุกๆ ตัวละครในเรื่อง) มันประดักประเดิดไปหมด ยิ่งบวกกับการตัดต่อลำดับภาพที่ชวนให้มึนไม่แพ้ Suicide Squad เลยทำให้ช่วงองก์ 3 ของเรื่องมันถูลู่ถูกังมาก (แต่โดยรวมไม่แย่เท่า Suicide Squad นะ)
ทั้งหมดนี้ก็เป็นการรีวิวขนาดสั้นกึ่งยาวของ 4 ซีรีส์ + 2 หนังจาก Netflix ที่เราเพิ่งดูจบไปเมื่อไม่นาน ใครมีเรื่องอะไรหนุกๆ ลองเอามาแชร์กันหน่อย เผื่อเราจะไปตามดูนะ
เรียบเรียงโดย เหมียวฟิ้น
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.