หญิงสาวบอกคนผิวขาว ให้เลิกรังแกและทักว่า ‘หนีห่าว’ กับชาวเอเชียทุกคนสักที

หลายคนอาจต้องการไปเรียนเมืองนอกในแถบประเทศตะวันตก หรือบางคนอาจกำลังเรียนอยู่ในแถบนั้น แต่แน่นอนว่าทุกที่ย่อมมีทั้งคนที่ดีกับเราและคนที่ไม่ชอบเรา กลายเป็นว่าเราถูกรังแกจากคนในประเทศนั้นและมันอาจทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ จนต้องระเบิดออกมาเหมือนอย่างหญิงสาวคนนี้

นักเขียนชาวเอเชียที่ชื่อว่า Jin Hyun ได้ออกมาบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับการที่เธอเรียนอยู่ในประเทศอังกฤษ โดยสิ่งสำคัญที่เธอพูดถึงคือการถูกรังแกจากคนผิวขาวบางกลุ่ม ซึ่งคนเหล่านั้นมักจะทักทายเธอด้วยคำว่า “หนีห่าว” (คำทักทายภาษาจีน) หรือ “Ching Chong Ling Long” (เป็นเหมือนกับคำเยาะเย้ยคนจีน) อยู่เสมอ

 

 

เธอบอกว่าชายผิวขาวบางคนถึงกับขว้างบางอย่างมาใส่เธอ หรืออาจพยายามเดินเข้ามาคุกคามเธอ ก่อนที่จะจากไปพร้อมกับหัวเราะกับเพื่อน พูดเยาะเย้ยเป็นภาษาอังกฤษ ทำเหมือนกับว่าเธอไม่เข้าใจ

ในช่วงปีแรกที่เธอได้มาเรียน เธอจะพยายามไม่สนใจกับการโดนดูถูกผ่านคำพูดหรือการกระทำหลายๆ อย่าง เธอจะพยายามคิดว่าตัวเองแค่เป็นคนที่โชคร้ายมากๆ เท่านั้นเอง แต่เมื่อเธอได้เริ่มเรียนในชั้นปีที่สองและสาม ถึงได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่เธอที่ต้องมาเจอกับอะไรแบบนี้

 

 

หญิงสาวได้เจอกับเพื่อนที่เป็นชาวเอเชียตะวันออกเหมือนๆ กันจากหลากหลายประเทศ ตัวเธอนั้นเป็นคนเกาหลี เพื่อนคนอื่นๆ ก็มีทั้งชาวมาเลเซีย ชาวเวียดนาม หรือชาวญี่ปุ่น

แต่ถึงแม้ว่าพวกเธอจะมาจากประเทศที่ต่างกันไป กลับมีสิ่งหนึ่งที่ต้องโดนเหมือนกันนั่นคือการถูกมองและถูกกระทำเหมือนกับว่าพวกเธอทุกคนเป็นคนจีน

ทำให้พวกเธอต้องถูกรังแกมาสารพัด Jin ถึงกับบอกว่าเพื่อนทุกคนของเธอต้องเคยเจอการถูกคุกคามในลักษณะนี้มาอย่างน้อยหนึ่งครั้ง และประโยคที่มักจะเจอเป็นประจำคือการถูกทักทายและหัวเราะเย้ยหยันด้วยคำว่า “หนีห่าว”

 

 

เมื่อเธอนำเรื่องนี้ไปปรึกษาเพื่อนนักเรียนที่เป็นคนผิวขาว คำตอบที่เธอได้กลับมาคือ “แล้วยังไง?” หรือ “มันอาจเป็นอะไรที่ไร้เดียงสาของหนุ่มๆ พวกเขาแค่พยายามที่จะดีด้วยเท่านั้นเอง” ทั้งๆ ที่สิ่งที่เธอเจอมามันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เธอต้องการส่งต่อเรื่องราวเหล่านี้ไปให้กับทุกคน เพื่อยับยั้งไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมาอีกทั้งในประเทศอังกฤษ และประเทศอื่นๆ ทางแถบตะวันตก

 

 

เธอบอกว่าอย่างแรกสุดเลยคือการที่ชาวเอเชียจะเข้ามาเรียนในอังกฤษได้นั้น พวกเขาจำเป็นที่จะต้องผ่านการทดสอบทักษะทางด้านภาษาอังกฤษเสียก่อน นั่นจึงหมายความว่านักเรียนเอเชียสามารถเข้าใจในสิ่งที่เหล่าเจ้าบ้านทั้งหลายพูดเย้ยหยันเอาไว้ บางคนเองก็โตที่ประเทศนอกเอเชียอีกด้วย อย่างเช่นเธอเองก็เติบโตในอเมริกา

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะเธอและเพื่อนๆ ที่เป็นคนเอเชียเหมือนกัน แต่ต่างกันด้วยเชื้อชาติ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าพวกเธอไม่ได้ดูเหมือนกันหรือว่าหน้าคล้ายคนจีนเลย ในขณะที่คนผิวขาวบางคนกลับมองไม่เห็นความต่างนี้ แล้วพยายามปฏิบัติตัวกับพวกเธอเหมือนชาวจีนไปซะหมด ซึ่งนั่นถือเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ

ไม่ใช่แค่คนผิวขาว เพราะบางคนที่ไม่ใช่ผิวขาวเองก็พยายามมารังแกพวกเธอในลักษณะเดียวกัน Jin บอกว่าคนประเภทนี้คงคิดว่าตัวเองมีสิทธิ์ที่จะสามารถทำอะไรกับคนเอเชียก็ได้ เพราะคนเอเชียมักจะไม่ตอบโต้กลับไป

 

 

แต่แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้สำหรับเธอถือว่าไม่ถูกต้องอย่างมาก เพราะการที่คนเอเชียไม่ตอบโต้กลับไป หรือไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่นัก ไม่ได้แปลว่าคนผิวสีอื่นๆ จะสามารถดูถูกเหยียดหยามวัฒนธรรมของคนเอเชียได้ และถึงแม้ว่าเธอจะไม่ใช่คนจีน แต่เธอก็ไม่พอใจกับการที่คนเหล่านี้เอาประโยคทักทายมาใช้เย้ยหยันคนอื่นอยู่ดี

สุดท้ายแล้วเธอบอกว่าตัวเองไม่รู้หรอกนะว่าคนเหล่านั้นทำพฤติกรรมหยาบคายอย่างนี้ไปเพื่ออะไร แต่เธอต้องการให้หยุดการกระทำเหล่านี้เสียที

เธอบอกเอาไว้ว่า “ครั้งต่อไปที่รู้สึกว่าตัวเองถูกกระตุ้นให้ต้องมาแสดงการเหยียดหยามกับคนเอเชียตะวันออกอีก ก็ช่วยหุบปากเก็บลิ้นของตัวเองไว้ แล้วปล่อยให้พวกเราอยู่กันเองเถอะนะ”

 

 

แน่นอนว่าการที่เธอออกมาพูดอย่างนี้ ไม่ได้แปลว่าคนผิวขาวทุกคนจะต้องเป็นคนไม่ดีอย่างที่เธอเจอมา อย่างที่บอกไปว่าทุกสังคมย่อมมีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกันไป แต่อย่างน้อยก็หวังว่าจะช่วยลดพฤติกรรมเหล่านี้ให้หมดไปได้สักวันหนึ่งนะ

 

ที่มา: thetab

Comments

Leave a Reply