“เขาดูเหมือนกับอาจารย์ในมหาวิทยาลัย สวมเสื้อแจ็คเก็ตตัวใหญ่ กับแว่นหนาเตอะ ดูไม่เห็นแววเลยว่าจะเก่งเรื่องฟุตบอล”
นั่นเป็นความรู้สึกของ เอียน ไรท์ หนึ่งในยอดตำนานดาวยิงสูงสุดของทีมอาร์เซนอล ต่อโค้ชคนใหม่ที่เพิ่งย้ายเข้ามาคุมทีมในปี 1996
และโค้ชคนนั้นก็คือ อาร์แซน เวงเกอร์ ที่ย้ายมาจากทีมสโมสรนาโงย่า แกรมปัส ของลีกญี่ปุ่น ในช่วงนั้นในเกาะอังกฤษยังไม่มีใครรู้จักเขาแม้แต่คนเดียว
“หลังจากที่ผ่านไปแค่ไม่กี่วันความคิดของผมก็เปลี่ยนไป วิธีการเตรียมพร้อมในทีม การฝึกฝน จากเดิม ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด เขาเป็นคนที่น่าประทับใจมาก เป็นคนที่ฉลาด” เอียนกล่าว
หลังจากย้ายเข้ามาฤดูกาลแรก เวงเกอร์ ซื้อนักเตะคนสำคัญเข้ามาสู่ทีม นั่นก็คือ ปาทริค วิเอร่า หนึ่งในตำนานคนสำคัญที่ช่วยให้อาร์เซนอลกวาดแชมป์มากมายในช่วงนั้น
เขาสร้างเอกลักษณ์รูปแบบการเล่นให้กับทีม ซึ่งก็คือการต่อบอลอันสวยงาม รวดเร็ว และแม่นยำ จนกลายมาเป็นซิกเนเจอร์ของอาร์เซนอลอย่างทุกวันนี้
หลังจากย้ายมาแค่ 2 ปี ในฤดูกาลที่ 1997 – 1998 ที่เข้ามาคุมทีม เวงเกอร์ก็พาทีมอาร์เซนอลคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก พ่วงด้วยแชมป์เอฟเอคัพได้สำเร็จ
หลังจากนั้นก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 2001-2002 ก่อนที่จะสร้างประวัติศาสตร์เป็นผู้จัดการทีมคนแรกและคนเดียวที่คุมทีมลงเล่นโดยที่ไม่แพ้ทีมใดในลีกเลยทั้งฤดูกาลและจบด้วยการเป็นแชมป์ในฤดูกาล 2003-2004 คว้าถ้วยแชมป์สีทองไปครองในที่สุด
เขาพาทีมคว้าแชมป์มากมาย แต่ความสำเร็จไม่ได้มีเพียงเท่านี้ สิ่งที่ทำให้เวงเกอร์เป็นมากกว่าโค้ชธรรมดาๆ ทั่วไป คือเขาช่วยให้ทีมผ่านพ้นช่วงยากลำบากมาได้โดยที่ยังอยู่ในอันดับต้นๆ ของตาราง
ในช่วงปี 2006 ในทีมอาร์เซนอลเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งก็คือการย้ายสนามเหย้าจากไฮบิวรี่ ไปสู่เอมิเรตส์สเตเดียม ทำให้ทีมเป็นหนี้มหาศาลกว่า 100 ล้านปอนด์ (7,000 ล้านบาท)
เวงเกอร์ต้องคุมทีมโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด อีกทั้งยังต้องขายสตาร์ของทีมออกไป ทั้งเธียร์รี่ อองรี, ปาทริค วิเอร่า, โรแบร์ ปิแรส เพื่อทำให้ทีมอยู่รอด
อาร์เซนอลในยุคนั้นเป็นทีมที่อุดมไปด้วยดาวรุ่งพุ่งแรง หลายๆ คนก็โด่งดังขึ้นมาด้วยน้ำมือของเวงเกอร์ และพวกเขาสามารถโชว์ฟอร์มจนสามารถจบในอันดับท็อป 4 ได้ทุกฤดูกาล
จนในที่สุดก็ปลดหนี้สนามได้ นำไปสู่การมาของนักเตะบิ๊กเนมอย่างเมซุต เออซิล, อเล็กซิส ซานเชส, อเล็กซองเดร ลากาแซ็ต, และรายล่าสุดอย่าง อเมริก โอบาเมยอง
แน่นอนว่าเมื่อมีจุดสูงสุด ก็ต้องมีจุดที่ต่ำที่สุด ช่วงปีสองปีมานี้ฟอร์มของอาร์เซนอลดรอปลงไปอย่างเห็นได้ชัดภายใต้การคุมทีมของเวงเกอร์
แม้ว่าในปี 2013-2014 เขาจะพาทีมกลับมาคว้าแชมป์เอฟเอคัพ ได้อีกครั้ง หลังจากที่ร้างราแชมป์มานาน ถึง 9 ปี ในปีนี้มีแต่คนคาดหวังว่าเขาจะอำลาทีมไป และนั่นคงจะเป็นเรื่องที่แฟนๆ ยอมรับได้ และคงเป็นการจากลาที่ดี
แต่เขากลับดึงดันที่จะคุมทีมต่อไป และผลงานก็ค่อยๆ ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ โดยเฉพาะฤดูกาลก่อนหน้านี้ ที่พาทีมจบอันดับที่ 6 และเป็นครั้งแรกตั้งแต่คุมทีมมา ที่ไม่ได้จบอันดับท็อปโฟร์
กองเชียร์อาร์เซนอลจำนวนมากไม่พอใจ และเริ่มมีการประท้วง ไม่ยอมซื้อตั๋วเข้าไปชมในสนาม จนคนดูบนสแตนด์เบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาสาปส่ง ก่นด่า เพื่อขับไล่เวงเกอร์ออกไป
แต่ถึงอย่างนั้นเวงเกอร์ก็ไม่สนใจ ทุกครั้งที่มีนักข่าวสัมภาษณ์ถึงกรณีดังกล่าว เขาก็มักจะตอบว่าโฟกัสไปที่เกมการแข่งขันเท่านั้น
และดูเหมือนว่าแรงกดดันเหล่านั้นก็เป็นผล เมื่อวันที่ 20 เดือนเมษายนที่ผ่านมาสโมสรอาร์เซนอลแถลงว่า อาร์แซน เวงเกอร์ ตัดสินใจที่จะอำลาทีมหลังจากจบฤดูกาลนี้ หลังจากที่อยู่ในสโมสรมานานถึง 22 ปี
และนี่คือคำพูดของเขาตอนกล่าวอำลาทีม
“หลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน และปรึกษากับบอร์ดบริหารของสโมสรเรียบร้อยแล้ว ผมก็รู้ตัวแล้วว่ามันคงถึงเวลาแล้วที่ผมจะต้องก้าวลงจากตำแหน่งโค้ชในช่วงสิ้นสุดฤดูกาลนี้
ผมรู้สึกขอบคุณจากใจจริงที่ได้มีโอกาสรับใช้สโมสรแห่งนี้ เป็นเวลาหลายปีที่เต็มไปด้วยความทรงจำ
ผมทำงานกับสโมสรด้วยความซื่อตรง และมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม ผมอยากขอบคุณเจ้าหน้าที่, สตาฟ, นักเตะ, บอร์ดบริหาร และแฟนบอลที่ทำให้สโมสรแห่งนี้เป็นอะไรที่พิเศษ
ผมอยากให้ทุกคนช่วยกันสนับสนุนทีมให้จบฤดูกาลด้วยผลงานที่ดี
ถึงแฟนบอลที่รักในอาร์เซนอลทุกคน ช่วยกันรักษาคุณค่าของสโมสรแห่งนี้ต่อไป ด้วยรักและสนับสนุนของผมจะคงอยู่ตลอดไป”
ในฐานะของแฟนบอลตัวยงคนหนึ่ง #เหมียวหง่าว ต้องขอขอบคุณอย่างสุดซึ้ง ที่ทำให้รู้จักกับฟุตบอลที่สวยงาม การต่อบอลอันสวยงามในแบบที่ทีมอื่นๆ ไม่มี ขอบคุณที่ทำให้เด็กชายตาดำๆ คนหนึ่งหันมาเชียร์และรักในกีฬาฟุตบอลโดยเฉพาะทีมอาร์เซนอล
ตั้งแต่เริ่มเชียร์อาร์เซนอลมาก็เห็นว่าชายคนนี้นี่แหละ คือคนที่คุมทีมอาร์เซนอลมาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงที่พีคที่สุด มาสู่ช่วงที่ตกต่ำสุดๆ ก็มีด่าบ้าง มีความคิดที่อยากจะให้เขาออกไปบ้าง แต่พอมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วกลับรู้สึกใจหายอย่างน่าประหลาด
สิ่งเดียวที่อยากจะพูดก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคำว่า ‘ขอบคุณ’ และขอให้โชคดี (ปาดน้ำตาแป๊บ T T)
เรียบเรียงโดย #เหมียวหง่าว
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.