ชาวเน็ตโวย เจ้าของไอเดียเทรนด์ถ่ายรูปท่า “ปวดหัวไมเกรน” เหมือนการเยาะเย้ยผู้ป่วยจริงๆ

ช่วงนี้เราอาจได้เห็นภาพของเหล่าคนดังในอินสตาแกรม โพสท่าเอามือข้างหนึ่งแตะหัวของตัวเอง เหมือนว่าพวกเขามีอาการ ปวดหัวไมเกรน ซึ่งเทรนด์นี้ก็ถูกเรียกว่าอย่างนั้นจริงๆ

เทรนด์ที่ว่านี้เริ่มคิดมาจากไอเดียของ Nam Vo ช่างแต่งหน้าในกรุงลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา

เธอบอกว่า “ฉันชอบเพราะว่ามันดูสวยงามเมื่อเอามือตีกรอบใบหน้าเอาไว้ ทำให้เห็นเค้าโครงชัดเจนมากยิ่งขึ้น และยังได้แสดงให้เห็นถึงการแต่งเล็บที่ทำมาไปพร้อมๆ กันด้วย”

 

แม้แต่คนดังอย่าง Kylie Jenner ก็ทำ

 

นางแบบสาว Gigi Hadid

 

Bella Hadid

 

แต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่โอเคและมองว่าท่าโพสนี้โดดเด่นเสมอไป เพราะคนที่ป่วยเป็นโรคไมเกรนจริงๆ กลับมองว่ามันเป็นเหมือนการล้อเลียนพวกเขาซะมากกว่า

เมื่อ Nam Vo เจอกระแสการต่อว่าอย่างหนัก เธอจึงได้ออกมาโพสต์ลงอินสตาแกรม อธิบายพร้อมกล่าวขอโทษพวกเขาเหล่านั้น

 

ภาพที่เธอโพสต์ลงช่วงต้นเดือนกรกฎาคม 2018 พร้อมกล่าวขอโทษทุกคนที่ไม่พอใจในการโพสท่าที่เธอคิดขึ้นมา

 

โพสต์ของเธอบอกว่า “สวัสดีผู้ติดตามของฉัน ฉันอยากจะขอโทษในเรื่องนี้ ฉันไม่ได้ต้องการที่จะรุกรานหรือทำร้ายความรู้สึกของใคร และฉันก็รู้สึกตื้นตันใจกับทุกเรื่องราวประสบการณ์ที่พวกคุณแชร์เข้ามา”

“ฉันรักผู้ติดตามทุกคนและอยากให้พวกคุณมีความสุขและมีสุขภาพที่ดี ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะความรัก”

 

 

แม้เธอจะออกมาขอโทษกับการเป็นผู้นำเทรนด์โพสท่าปวดหัวนี้แล้ว แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่รู้สึกไม่พอใจและมองว่าเธอไม่ได้รับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองคิดและทำมันขึ้นมาเลย

“ละอายใจกับคุณจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ทำไมไม่คิดโพสท่าคนป่วยเป็นมะเร็งด้วยเลยล่ะ นี่เป็นเหมือนการเยาะเย้ยและดูถูกคนที่ต้องประสบปัญหากับการปวดหัวไมเกรนอย่างจริงจัง และนั่นไม่ควรเป็นสิ่งที่ยอมรับได้”

“ความไม่รู้ไม่ใช่คำแก้ตัว และการขอโทษมันก็ไม่เพียงพอหรอกนะ”

“ถ้าคุณเอาใจใส่และเข้าใจความเจ็บปวดกับการใช้ชีวิตอันยากลำบากของผู้ป่วยไมเกรนจริงๆ คุณควรที่จะพยายามหยุดเทรนด์อันน่าตลกที่คุณเริ่มไว้ได้แล้ว”

 

 

หากใครไม่ได้ป่วยเป็นโรคนี้ก็อาจไม่เข้าใจ ซึ่งการปวดหัวข้างเดียวแบบโรคไมเกรนนั้นสามารถส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้เลย รวมถึงความไวในการรับรู้เกี่ยวกับแสงหรือเสียงที่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

และโรคนี้ก็ถือว่าพบได้เป็นเรื่องทั่วไป ราวๆ 1 ใน 5 ของผู้หญิง และ 1 ใน 15 ของผู้ชายทั่วโลก

 

ที่มา: mirror , thesun

Comments

Leave a Reply