เด็กสติไม่สมประกอบหนีออกจากบ้าน แต่กลับสู่อ้อมอกพ่อแม่ได้อีกครั้งจาก ‘รอยสัก’ !!

สำหรับเด็กๆ ที่มีสติไม่สมประกอบนั้นก็ควรที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่พวกเขาทำลงไปอย่างไม่รู้ตัว อาจจะเป็นอันตรายแก้กับตัวเขาเองได้

เช่นเดียวกับในเหตุการณ์นี้ ที่มีเด็กสติไม่สมประกอบคนหนึ่งเกิดพลัดหลงออกจากบ้านและไม่สามารถกลับบ้านได้เอง ทว่าก็ยังโชคดีที่ครั้งนี้เขาสามารถกลับสู่อ้อมอกของพ่อแม่ได้จาก ‘รอยสัก’ ??

 

 

ในเวลาประมาณ 10.00 น. ของเช้าวันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้มีกลุ่มคนงานก่อสร้างกลุ่มหนึ่งโทรศัพท์หาเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากพวกเขาได้พบตัวของเด็กชายคนหนึ่งที่เดินโซซัดโซเซอยู่บนทางหลวงในเมืองเวินโจว มณฑลเจ้อเจียง ด้วยตัวของเขาเพียงลำพัง

เมื่อได้รับแจ้งเหตุดังนั้นทางเจ้าหน้าที่จึงรีบมายังสถานที่ดังกล่าว และจากการตรวจสอบก็ได้พบว่าเด็กผู้ชายคนนี้มีสติที่ไม่ค่อยจะสมประกอบนัก ทั้งไม่สามารถบอกได้ว่าตัวเองเป็นใครหรือว่าพ่อแม่อยู่ที่ไหน

 

 

แต่ถึงกระนั้นทางเจ้าหน้าที่ก็ได้สังเกตเห็นว่า บนร่างของของเด็กชายมีรอยสักอยู่รอยหนึ่งบริเวณแขนด้านขวา ซึ่งเมื่อนำขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นตัวเลขอยู่กลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนกับว่าเป็นเบอร์โทรศัพท์สองเบอร์ ทว่าก็มีอยู่เบอร์หนึ่งที่ถูกขีดฆ่าเอาไว้

ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการรอช้า ทางตำรวจจึงรีบต่อสายไปยังเบอร์โทรศัพท์อีกเบอร์หนึ่งทันที และก็จริงอย่างที่คาดเดาเอาไว้เมื่อทางปลายสายคือแม่ของเด็กผู้ชายคนนี้นั่นเอง

โดยจากการรายงานของสื่อ The Paper บอกว่า หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจโทรศัพท์ไปบอกผู้เป็นแม่ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมงต่อมาเธอก็มารับตัวเด็กคนนี้ไปทันที

 

 

พร้อมกับคำอธิบายกับทางเจ้าหน้าที่ว่าลูกชายวัย 17 ปีของเธอ เป็นเด็กที่พิการทางสมอง และทางครอบครัวของเธอก็ออกตามหาเขามาโดยตลอด หลังจากที่เขาย่องหนีออกจากบ้านในเวลา 03.00 น. ของวันก่อนหน้านี้

นอกจากนี้เธอยังบอกอีกด้วยว่าด้วยความที่ในอดีตลูกของเธอมักจะหนีออกจากบ้านอยู่บ่อยๆ ในปี 2016 เธอจึงตัดสินใจสักเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ที่แขนของเขาซะเลย เพื่อหวังว่าหากมีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น คนที่พบเห็นจะได้สามารถติดต่อกับเธอได้ ส่วนเบอร์โทรศัพท์ที่ถูกขีดฆ่าก็เป็นเบอร์เก่าที่เพิ่งเปลี่ยนไปนั่นเอง

ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเมื่อส่งมอบตัวเด็กชายคนนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้ให้คำแนะนำกับผู้ปกครองคนอื่นๆ ว่าทางที่ดีหากใครที่คาดว่าจะต้องพบเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ น่าจะใช้วิธีอื่นอย่างเช่นใช้สายรัดข้อมือ น่าจะดีกว่า…

 

ที่มา: shianghaiist, thepaper, odditycentral


Tags:

Comments

Leave a Reply