ข่าวใหญ่ที่สุดของแวดวงธุรกิจในสหรัฐอเมริกา คือการปรับตัวลดลงของหุ้นบริษัทโซเชียลเน็ตเวิร์กชื่อดัง Facebook ที่หลังจากเปิดซื้อขายในเช้าวันพฤหัสบดี (ตามเวลาท้องถิ่น) ปรับตัวลดลงไปเกือบ 20% เลยทีเดียว
หลายสำนักวิเคราะห์รีบนำเสนอข้อมูลต่างๆ คาดการณ์ไปต่างๆ นานา ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็ยังไม่ฟันธงว่าเกิดจากอะไรกันแน่
เราจะขอสรุปข้อมูลมาเพื่อให้ทางผู้อ่านได้เข้าใจง่ายๆ ครับ
1. มูลค่าบริษัทลดลงกว่า 3.8 ล้านล้านบาท
การปรับตัวลงอย่างหนักครั้งนี้ ทำให้มูลค่าของ Facebook ลดลงในวันเดียวถึง 1.19 แสนล้านเหรียญ หรือคิดเป็นเงินไทยราว 3.8 ล้านล้านบาท
นับเป็นการปรับตัวลดลงที่มากที่สุดตั้งแต่บริษัทนี้เข้าทำการซื้อขายในตลาดหุ้นมาอีกด้วย
2. ทั้งที่เพิ่งประกาศว่ามีกำไรเพิ่มมากขึ้นเนี่ยนะ!?
Facebook ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 2 เทียบกับปีที่แล้ว ทำกำไรได้เพิ่มขึ้นกว่า 30% และมีคนใช้งานมากขึ้นทุกวัน รวมในทุกแพลตฟอร์มที่พวกเขามีประมาณ 5,000 ล้านบัญชีผู้ใช้เข้าไปแล้ว
3. การเติบโตที่ลดลง!?
อย่างที่บอกให้ข้อที่แล้วว่า แม้จะมีผู้ใช้งานสูงถึง 5,000 ล้านบัญชี ในแพลตฟอร์มหลักทั้ง Facebook, Messenger, Instagram, Whatsapp แต่การเติบโตก้าวกระโดดนั้นไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ตัวเลขผู้ใช้งานใหม่มีอัตราเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยลง ไม่ได้มากตามที่นักลงทุนหลายคนหวังจะให้เป็น (น่าจะเพราะคนเข้ามาเล่นใหม่ไม่เยอะเท่าเดิม และมีคนเก่าที่เลิกเล่นไป) จึงอาจจะมีผลในการตัดสินใจขายหุ้นทิ้ง
4. วิกฤติรุมเร้า ว่าด้วยเรื่องข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ที่หลุดไป
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ Facebook เสียความน่าเชื่อถือ คือกรณีของข้อมูลส่วนตัวผู้ใช้ที่หลุดไป จนทำให้ Mark ต้องเข้าไปชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการอย่างที่เราได้เห็นข่าวกันไป
เรื่องความเป็นส่วนตัวนี้จึงอาจจะมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้งาน จนหลายคนเข้าใช้งานน้อยลง หรือกระทั่งปิดบัญชีไปในที่สุดด้วย
5. คนลงโฆษณาอาจจะหายไป รายได้อาจจะหด นักลงทุนเลยไม่เชื่อมั่น!?
แม้ว่าบ้านเราอาจจะยังไม่มีการตื่นตัวเรื่องของ “ความเป็นส่วนตัว” ดังกล่าวมากนัก แต่นี่คือสิ่งสำคัญที่ Facebook จำเป็นต้องได้รับความเชื่อมั่นจากผู้ใช้ เพราะข้อมูลของผู้ใช้ คือสิ่งที่บริษัทจะนำไปเสนอขายต่อผู้ลงโฆษณา ให้มาลงโฆษณาผ่านพวกเขา
และหากผู้ใช้รู้สึกว่าไม่ปลอดภัย คนเล่น Facebook ก็อาจจะลดลงในอนาคต ทีนี้เหล่านักลงโฆษณาก็อาจจะเบนเป้าไปหาแหล่งใหม่ที่มีผู้เล่นเยอะกว่า หรือลงโฆษณาแล้วมีประสิทธิภาพมากกว่าก็เป็นได้
แม้เรื่องนี้จะยังไม่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย และนักลงทุนหลายคนก็คงกังวลตรงจุดนี้เช่นกัน
6. แต่บางส่วนยังแนะนำว่าควร “ซื้อ”
นักวิเคราะห์จากหลายสำนักในอเมริกา เช่น Goldman Sachs, Bank of America หรือ Jefferies ยังคงแนะนำเป็น Buy หรือช้อนซื้อหุ้นตัวดังกล่าว
พวกเขาพูดไปในทางเดียวกันว่าบริษัทยังมีแนวโน้มทำกำไรได้ดี และการเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กรายใหญ่ในยุคนี้ก็คือยักษ์ที่ยากจะล้มลงได้ เมื่อคนมีสังคมบนเว็บไซต์แห่งนี้แล้ว พวกเขาก็ไม่อยากจะไปเสียเวลาสร้างสังคมใหม่ที่อื่น
นอกจากนี้ทางบริษัทเองก็ยังขยันออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็น IGTV ที่เน้นคอนเท้นต์วิดีโอมากขึ้น รวมถึงการประมูลลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ในประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เพิ่งชนะการประมูลไปด้วย
7. แนวโน้มอนาคต Facebook กำลังจะล้มหรือไม่!?
ข้อสุดท้ายนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของ #ประธานเหมียว เอง ด้วยความรู้สึกที่ว่า โซเชียลเน็ตเวิร์กอย่าง Facebook นั้นเป็นยักษ์ที่ยากจะล้มได้จริง
ยุคนี้ต่างจากยุคที่ที MySpace หรือ Hi5 ที่แม้จะถูกมองว่าเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กยุคแรก แต่มันไม่สามารถ “เปลี่ยนโลก” ได้อย่างที่ Facebook ทำ
แต่อย่างที่หลายคนได้ตามข่าวกัน ปัญหาของ Facebook นั้นอาจจะไม่ได้เกิดจากบริษัทอื่นทำโซเชียลเน็ตเวิร์กที่ดีกว่ามาสู้ (เพราะคนคงไม่อยากย้ายไปเล่นอันใหม่ๆ ที่มีคนน้อยกว่าหรอกจริงไหม)
ถ้าจะล้มเหลวจริง ผมมองว่าต้องเกิดจากการ “เปลี่ยนเทคโนโลยีครั้งใหญ่” และปัญหาจะมาจาก “ภายใน” ของ Facebook เอง ที่ไม่สามารถทำให้ผู้ใช้อยู่กับเว็บอีกต่อไปได้
รายได้หลักของ Facebook ก็คือค่าโฆษณา และค่าโฆษณาก็เกิดจากคนมาลงโฆษณาให้ผู้ใช้ได้เห็นโฆษณาเหล่านั้น และถ้าคนน้อยลงไป คนก็จะไม่มาลงโฆษณา สุดท้ายบริษัทก็จะอยู่ไม่ได้เอง
เพราะฉะนั้น Facebook จึงต้องพยายามสร้างสมดุลระหว่าง “ความสุขของผู้ใช้” และ “เม็ดเงินจากผู้ลงโฆษณา” ให้ได้มากที่สุด และเป็นหน้าที่ของ Mark เองเท่านั้นที่จะตอบได้ว่า พวกเขาจะรักษาจุดสมดุลนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.