ในยุคปัจจุบันที่กีฬาการวิ่งได้รับกระแสตอบรับความนิยมมากขึ้น มีการจัดแข่งวิ่งทั่วประเทศและถี่ตลอดทั้งปี อาจจะมีความรู้สึกว่ายากในบางรายการ แต่คงไม่ยากเท่ารายการวิ่งมาราธอนในอดีตครั้งนี้แน่ๆ ที่ทำให้นักวิ่งโอลิมปิกถึงกับต้องยอมแพ้
ในปี 1904 กีฬาโอลิมปิกถูกจัดขึ้นที่เมืองเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี ประเทศสหรัฐอเมริกา และรายการแข่งมาราธอนถือว่าเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของโอลิมปิก
โดยจัดแข่งเป็นรายการสุดท้ายของวันนั้น มีนักกีฬาเข้าร่วมทั้งหมด 62 คนจากทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นวันที่จัดเทศกาลครั้งใหญ่ของเมือง ซึ่งนับว่าเป็นวันที่เกิดงานสองงานรวมกันในวันเดียว และก่อให้เกิดหายนะต่อนักกีฬาอย่างร้ายแรง
หายนะเริ่มต้นจากผู้จัด เลือกวันตรงกับงานเทศกาลใหญ่ของเมือง และให้เริ่มการแข่งขันวิ่งในช่วงบ่ายแทนที่จะเป็นช่วงเช้า
นั่นหมายความว่า นักกีฬาจะต้องวิ่งท่ามกลางอุณหภูมิที่สูงกว่า 30 องศาเซลเซียส ตลอดการแข่งขัน
และน้ำดื่มที่นักวิ่งจะได้รับนั้น อยู่ห่างออกไปประมาณ 17 กิโลเมตรจากจุดปล่อยตัว ซึ่งเป็นเพียงจุดเดียวที่มี
เส้นทางการวิ่งประกอบไปด้วยทางดินและทางฝุ่น ประกอบกับเป็นวันจัดงานเทศกาลใหญ่ของเมือง ชาวบ้านที่ขับรถม้าสัญจรไปมา ทั้งล่วงหน้าและตามหลังนักกีฬา ก่อให้เกิดฝุ่นตลบอบอวลตลอดเส้นทาง และกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ของนักกีฬา
Charles Lucas นักประวัติศาสตร์โอลิมปิกกล่าวว่า “นักกีฬาหลายคนไม่ได้ดื่มน้ำระหว่างทาง ผลที่ตามมาก็ก่อให้เกิดความผิดปกติในลำไส้”
หนึ่งในนักวิ่งชาวอเมริกัน William Garcia ถูกชาวบ้านพบ นอนเป็นลมล้มพับกลางทาง
เนื่องจากเขาได้รับผลกระทบต่อร่างกายภายในอย่างรุนแรง เป็นเพราะเศษฝุ่นบนทางคละคลุ้งไปทั่ว จากรถม้าของกรรมการโอลิมปิกและของชาวบ้าน
เขาสูดดมอนุภาคของฝุ่นเข้าไปเยอะ จนทำให้เกิดการกัดกร่อนของผนังกั้นกระเพาะอาหาร และเกิดอาการตกเลือดรุนแรง เกือบจะทำให้เขาเสียชีวิต
Andarín Carvajal บุรุษไปรษณีย์ชาวคิวบา คือหนึ่งในนักกีฬาที่เตรียมพร้อมน้อยที่สุด
หนึ่งในผู้เข้าแข่งขันตัวแทนจากคิวบา Andarin Carvajal เขาไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ แต่เป็นเพียงแค่บุรุษไปรษณีย์ธรรมดาคนหนึ่ง และเป็นนักกีฬาที่ไม่มีความพร้อมที่สุดในรายการนี้
ตั้งแต่ทำเงินหายในเมืองนิวออร์ลีนส์ อาศัยโบกรถชาวบ้านมาแข่งวิ่ง ตัดกางเกงขายาวให้ดูคล้ายกับกางเกงวิ่งให้ได้มากที่สุด และเขาไม่ได้กินอะไรเลยมานานกว่า 40 ชั่วโมงแล้ว
ในระหว่างวิ่งแข่ง เขาก็แวะไปเด็ดลูกแอปเปิ้ลจากข้างทางมากิน แต่ปรากฏว่าเป็นแอปเปิ้ลเน่า แน่นอนว่าทำให้เขาท้องเสียจนวิ่งต่อได้ลำบาก
ถึงแม้จะเป็นคนที่ไม่พร้อมหรือโชคร้ายที่กินแอปเปิ้ลเน่าเข้าไป เขาก็ยังวิ่งไปแวะคุยกับกองเชียร์ข้างทางจนถึงเส้นชัย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจากความลำบากที่เผชิญมา เขายังได้ที่ 4 มาครอบครอง!!
รายการมาราธอนครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกของชาวแอฟริกันผิวสีได้เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิก
สองชาวแอฟริกันรายแรกที่ได้ร่วมแข่งโอลิมปิก ก็ได้มาร่วมวิ่งมาราธอนรายการนี้ด้วย นั่นก็คือนาย Len Taunyane กับ Jan Mashiani โดยคาดว่าสองนักวิ่งชาวแอฟริกันน่าจะทำเวลาได้ดี…
แต่กลับกลายเป็นว่า Taunyane เข้าเส้นชัยได้ที่ 9 ส่วน Mashiani นั้นโชคร้ายหน่อยตรงที่โดนหมาวิ่งไล่ตาม จนเข้าเส้นชัยได้ที่ 12
นักวิ่งชาวอเมริกัน Frederick Lorz แอบขึ้นรถเพื่อเนียนวิ่งเข้าเส้นชัย
Fred Lorz ไม่ได้วิ่งอย่างบริสุทธิ์ใจมาตลอดการแข่งขัน เขาเป็นลมล้มพับเนื่องจากอาการขาดน้ำในช่วง 14 กิโลเมตร จากนั้นเขาก็อาศัยขึ้นรถของชาวบ้าน
เพื่อที่จะได้ไปดักรอนักวิ่งคนอื่นก่อนเข้าเส้นชัย แต่แล้วรถคันที่เขาขึ้นก็พังในระยะที่ 30 กิโลเมตร เขาจึงต้องออกวิ่งด้วยตัวเองในระยะที่เหลืออีก 8 กิโลเมตรที่เหลือ
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็วิ่งเข้าเส้นชัยเป็นคนแรก คว้าชัยชนะแบบจอมปลอมจนเกือบจะได้เหรียญทองมาห้อยคอ จู่ๆ ก็มีคนกล่าวว่า “หมอนี่มันแอบขึ้นรถมาวิ่งเข้าเส้นชัย”
เจ้าตัวก็หงายการ์ดที่ว่า “เค้าแค่พูดเล่นๆ” อย่างไรก็ตามทางผู้จัดไม่เชื่อเขา สั่งปรับแพ้และสั่งแบนไม่ให้เข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกอีกตลอดชีวิต
แต่แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาทั้งหมด คงไม่แปลกประหลาดเท่าผู้ชนะของรายการนี้ Thomas Hicks
ในระหว่างที่ Thomas Hicks กำลังวิ่งในระยะที่ 16 กิโลเมตร เขาก็เริ่มมีอาการเหนื่อยและหอบขั้นรุนแรง แต่เขาก็ยังฝืนทนวิ่งตลอดเส้นทาง ภายใต้ทีมงานที่คอยดูแลอยู่ข้างหลัง 2 คน หนักกว่านั้นมีช่วงหนึ่งที่นักวิ่งขอน้ำดื่ม พวกเขากลับเอาน้ำกลั่นอุ่นๆ ให้ดื่มแทน…
เหลืออีกเพียง 11 กิโลเมตรก่อนถึงเส้นชัย Hicks รู้สึกแย่มาก พร้อมจะน็อคเครื่องลงไปนอนกับพื้นได้ทุกวินาที แต่ทีมผู้ดูแลกลับไม่ยอมให้เขาพัก อัดยาสตริกนินให้เขาแทนเพื่อกระตุ้นให้ไปต่อ ซึ่งในรายการแข่งสมัยนั้นยังไม่มีกฎข้อห้ามใช้ยากระตุ้นแต่อย่างใด
แต่แล้วสตริกนินที่อยู่ในเลือด ทำให้เขาเริ่มมีหน้าซีดเซียวและอ่อนแรง จะยอมแพ้แล้ว แต่เมื่อได้ยินข่าวของ Frederick Lorz ถูกตัดสิทธิ์ชนะ ก็ถูกลางสังขารให้ไปต่อ โดยที่มีเทรนเนอร์หามประคองเอาไว้
แต่แล้วในเมื่อเทรนเนอร์ประเมินสภาพว่า Hicks ไม่น่าจะไปต่อไหว ก็เลยอัดสตริกนินเพิ่มเข้าไปอีกพร้อมกับไข่ขาว ซึ่งในช่วง 3 กิโลเมตรก่อนถึงเส้นชัย เขาวิ่งเหมือนกับเครื่องจักร มีดวงตาแข็งทื่อ ดูไม่สง่างาม สีผิวและใบหน้าซีดเซียว แขนตก เป็นการวิ่งที่ไม่เหมือนวิ่ง เพราะแทบจะยกเท้าไม่ขึ้นแล้ว
เพียงแค่อีกหนึ่งอึดใจเดียว อาการของ Hicks เริ่มหนักข้อขึ้น เขาเริ่มมีอาการเห็นภาพหลอนและเชื่อว่าเส้นชัยยังอยู่ห่างออกไปอีก 32 กิโลเมตร ช่วงระยะก่อนถึงเส้นชัยเขาขออาหารทาน จากนั้นก็นอนล้มลงไป เทรนเนอร์จึงอัดไข่ขาวให้อีก 2 ฟอง
Hicks ก็กลับมาวิ่งแบบไร้วิญญาณอีกครั้ง จนวนกลับเข้ามาสู่ภายในสนาม ช่วงนี้เขาพยายามจะวิ่งต่อแต่ทำได้แค่ซอยเท้าเกือบจะหยุดอยู่กับที่ เทรนเนอร์จึงต้องประคองเข้าสู่เส้นชัย ทำให้ตัวเขาดูเหมือนวิ่งไปข้างหน้า จนได้รับประกาศเป็นผู้ชนะของรายการในที่สุด…
เป็นเวลานานกว่า 1 ชั่วโมง และแพทย์คอยดูแลมากถึง 4 คน จนกระทั่ง Hicks ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาน้ำหนักลดไปถึง 3 กิโลกรัมจากการแข่งวิ่งในครั้งนี้ โดยกล่าวว่าไว้ว่า “ไม่มีครั้งไหนในชีวิตที่จะต้องมาวิ่งในสนามที่โหดขนาดนี้ เนินเล็กๆ ธรรมดาๆ ยังสามารถฉีกร่างคนได้เป็นชิ้นๆ เลย”
ที่มา: smithsonianmag, mohistory, boredpanda
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.