4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ

ในการใช้ชีวิตบางครั้งคนเราก็อาจจะต้องตัดสินใจเรื่องสำคัญๆ ในวินาทีสุดท้ายอยู่เหมือนกัน และในบางครั้งการตัดสินใจเหล่านั้น ก็อาจจะนำมาซึ่งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่เสียด้วย

ด้วยเหตุนี้เอง ในวันนี้เราจะมาชม 4 การตัดสินใจในวินาทีสุดท้ายของเหล่าผู้คน ที่เปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไปทั้งใบ

 

มาร์ติน ลูเธอร์ คิงพูดว่า ข้าพเจ้ามีความฝัน (I have a dream)

เดิมทีแล้วในตอนที่ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์ กล่าวสุนทรพจน์ในวันที่ 27 สิงหาคม 1963 เขาได้มีการเตรียมบทพูดมาเป็นอย่างดี และไม่มีคำว่า “ข้าพเจ้ามีความฝัน” อยู่เลย

อย่างไรก็ตาม Mahalia Jackson ที่ฟังเขาอยู่ในตอนนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “เล่าความฝันให้พวกเขาฟังสิ” ด้วยเหตุนี้เอง มาร์ติน ลูเทอร์ คิง จึงตัดสินใจใส่คำพูดจากใจจริงไม่มีเขียนอยู่ในบทพูดลงไปในสุนทรพจน์

และคำพูดจากใจจริงนี้เองก็ทำให้สุนทรพจน์ของเขาในวันนั้น กลายเป็นตำนานที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้ไป

ที่มา forbes

 

ธีโอดอร์ โรสเวลต์ รอดชีวิตเพราะเอาบทพูดใส่กระเป๋าเสื้อ

ในปี 1912 โรสเวลต์ ได้ลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งและกำลังจะต้องไปกล่าวสุนทรพจน์ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่เดินทางอยู่นั้น เจ้าตัวก็พับบทพูดใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ

นับว่านี่เป็นการกระทำที่โชคดีสุดๆ เลยก็ว่าได้ เพราะหลังจากขึ้นเวทีไปไม่นานก็มีคนลอบยิงเขาที่หน้าอกพอดี กระดาษที่หนาร่วมๆ 50 หน้าจึงช่วยลดความเร็วของกระสุนลงไปมาก

ที่สำคัญคือแทนที่จะรีบไปโรงพยาบาล โรสเวลต์กลับลุกขึ้นมากล่าวสุนทรพจน์ต่อแบบหน้าตาเฉย สร้างความนับถือในหมู่ผู้คนเป็นอย่างยิ่ง

ที่มา history

 

สตานิสลาฟ เปตรอฟ ป้องกันโลกจากสงครามนิวเคลียร์

สตานิสลาฟ เปตรอฟ เป็นชายที่น้อยคนนักจะรู้จัก แต่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นคนที่สำคัญมากๆ คนหนึ่งของโลกเลยก็ว่าได้

เขาเป็นเจ้าหน้าที่ของกองกำลังป้องกันทางอากาศโซเวียต ผู้ซึ่งในวันที่ 26 กันยายน 1983 ได้ยินสัญญาณเตือนขีปนาวุธ 5 ลูกถูกยิงมาจากสหรัฐฯ

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดที่อาจจะทำให้เกิดสงครามโลกก็เป็นได้ แต่สตานิสลาฟก็สังเกตเห็นถึงความแปลกของข้อมูลที่ตนได้รับและตัดสินใจไม่รายงานผู้นำประเทศ เนื่องจากถ้าจะทำสงครามจริง สหรัฐฯ คงไม่ยิงมาแค่ 5 ลูกแน่ๆ

และเขาก็คิดถูกจริงๆ  เพราะสุดท้ายแล้วต่อให้รอนานขนาดไหนโซเวียตก็ไม่ได้โดนสหรัฐฯ โจมตี และสัญญาณเตือนที่กองกำลังป้องกันทางอากาศได้รับนั่น ก็เป็นเพียงแค่ความผิดพลาดของระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น

ที่มา bbc

 

มารี อ็องตัวแน็ต กับการเลือกเส้นทางในระหว่างการหลบหนี

พอพูดชื่อมารี อ็องตัวแน็ต ออกมาหลายๆ คนอาจจะคิดว่าการตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธออยู่ที่การพูดว่า “ไม่มีข้าวก็ทานเค้กสิ” แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีการบันทึกไว้หรอกว่าเธอพูดประโยคนี้จริงๆ ในประวัติศาสตร์

การตัดสินใจที่ผิดพลาดของเธออยู่ในตอนที่เธอหนีจากวังในช่วงการปฏิวัติต่างหาก เพราะตอนที่แยกกันหนี เธอกลับเลือกที่เดินออกมาทางเขาวงกตของปราสาท (บางที่ก็บอกว่าหลงทางเฉยๆ ) ทำให้เธอมาถึงรถม้าช้ากว่าเวลานัดถึง 30 นาที

อีกทั้งแหล่งข้อมูลบางที่ยังบอกว่า แทนที่มารี อ็องตัวแน็ตจะหนีในรถม้าธรรมดาที่ถูกเตรียมไว้ เจ้าตัวดันไม่ยอมและจะขึ้นรถม้าหรูเท่านั้นอีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อมูลส่วนนี้ยังไม่มีการยืนยันที่แน่ชัดแต่อย่างใด

ที่มา หนังสือ Queen of Fashion: What Marie Antoinette Wore to the RevolutionLouis XVI: The Silent King and the Estates และ Napoleon’s Hemorrhoids

 

ที่มา ranker

Comments

Leave a Reply