หลังจากจบสงครามโลกครั้งที่หนึ่งได้ไม่นาน จักรวรรดิเยอรมันก็ล่มสลายลงและถูกแทนที่ด้วย “ไรช์เยอรมัน” หรือที่รู้จักกันในชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า “สาธารณรัฐไวมาร์”
ในเวลานั้นสาธารณรัฐไวมาร์ต้องพบกับสถานการณ์เงินเฟ้อครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ จากที่ต้องใช้เงินราวๆ 4.2 มาร์คแลกเงินหนึ่งดอลลาร์สหรัฐ กลายเป็น 4,200,000,000,000 มาร์คต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐไป
ภาวะเงินเฟ้อในเวลานั้นรุนแรงมากจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปเล่นเป็นของเล่นได้โดยที่ไม่มีใครว่าเลยทีเดียว บางคนก็นำธนบัตรไปเผาทำความอบอุ่น เนื่องจากฟืนมีมูลค่ามากกว่าธนบัตรเหล่านั้นเสียอีก
ธนบัตรที่โดนนำไปใช้เป็นฟืน
ค่าเงินถูกจนเด็กๆ เอาธนบัตรไปต่อเป็นว่าวเลย
ในช่วงปี 1923 คนงานได้รับเงินค่าแรงถึงวันล่ะ 3 ครั้ง แถมยังเป็นจำนวนเยอะมากขนาดที่ต้องเอารถเข็นมาเข็น ถึงอย่างนั้นเงินดังกล่าวกับแทบเอาไปทำอะไรไม่ได้ เพราะบ่อยครั้งร้านค้าก็ไม่ยอมวางขายสินค้า
นั่นเป็นเพราะชาวไร่ชาวนาตัดสินใจว่าการเก็บสินค้าของตนไว้น่าจะมีค่ามากกว่าเอาไปแลกกองกระดาษ (ธนบัตร) ที่เอามาก็ไม่ได้ใช้ ทำให้ชนชั้นกลางที่มีชีวิตอยู่ได้ด้วยค่าแรงในประเทศแทบจะอดตายกัน
วอลล์เปเปอร์ติดผนังที่ทำจากธนบัตร 1 มาร์ค รวมๆ แล้วราคาถูกกว่าวอลล์เปเปอร์ที่ถูกที่สุดในท้องตลาดอีก
การเก็บธนบัตรในธนาคาร
เงินในสมัยนั้นไร้ค่ามากจนเกิดเรื่องเล่าว่ามีคนเผลอทิ้งรถเข็นที่ใส่เงินไว้เต็มรถเอาไว้กลางทาง แต่พอเจ้าของกลับมาเขาก็พบว่ามีคนขโมยรถเข็นของเขาไปโดยทิ้งกองธนบัตรเอาไว้เลยทีเดียว
กองธนบัตรของสาธารณรัฐไวมาร์ ทั้งหมดในภาพมีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์สหรัฐ
อัตราเงินเฟ้อแบบสุดๆ ของประเทศดำเนินมาจนถึงวันที่ 16 พฤศจิกายน 1923 ที่ทางรัฐบาลได้มีการออกธนบัตรเรนเทนมาร์กที่ตัดเลข 0 ออกไป 12 ตัว ทำให้เศรษฐกิจของประเทศกลับมามั่นคงเหมือนเดิม
และแม้แต่ในปัจจุบันคนในประเทศก็ยังมองว่าการที่ธนบัตรใหม่ทำให้เศรษฐกิจกลับมามั่นคงได้นั้นช่างเป็นปาฏิหาริย์เสียจริงๆ และธนบัตรเรนเทนมาร์กก็ยังถูกใช้กันต่อไปอีกช่วงหนึ่ง ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นไรชส์มาร์คในเวลาต่อมา
ส่วนเงินธนบัตรเงินมาร์คที่ไร้ค่าก็ถูกนำไปเผา
หลังจากวันนั้นมาเยอรมนีก็เปลี่ยนสกุลเงินอีกหลายครั้ง จนในที่สุดก็มาจบลงที่เงินยูโรอย่างในปัจจุบัน
ที่มา rarehistoricalphotos, mashable
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.