นักโบราณคดีบอก ปีคริสต์ศักราช 536 คือปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ

หากพูดถึงปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ หลายๆ คนก็อาจจะมีความเห็นที่ต่างกันไป บางคนอาจจะเลือกปีไหนสักปีหนึ่งในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ในขณะที่บางคนอาจจะบอกว่าปี 2018 นี่ล่ะที่เป็นปีที่เลวร้ายที่สุด

แต่สำหรับนักโบราณคดีที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอย่าง ไมเคิล แม็คคอมิค แล้ว ปีที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ คือปีคริสต์ศักราชที่ 536 ต่างหาก

 

 

การที่ไมเคิลบอกว่าปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้นอาจจะเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับหลายๆ คนเลยเป็นได้ เพราะปีนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่างสงครามโลกหรือการระบาดของโรคร้ายใดๆ

แต่จากงานวิจัยของไมเคิลแล้ว เหตุผลที่ทำให้ปี 536 เป็นปีที่เลวร้ายนั้น เกิดจากตัวสภาพอากาศของโลกเองต่างหาก

 

 

เพราะในปีนั้นได้เกิดหมอกควันในปริมาณมาก เหนือท้องฟ้าแทบทุกทวีปทั่วโลก ตั้งแต่ยุโรป ตะวันออกกลาง เรื่อยไปยันบางส่วนของเอเชีย ทำให้โลกต้องตกอยู่ในสภาพที่ไม่มีแสงอาทิตย์ส่องถึง

นี่อาจจะฟังดูเหมือนพล็อตเรื่องของหนังแนวภูตผีปิศาจสักเรื่อง แต่ในความเป็นจริงแล้วการที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึงพื้นโลกก็ทำให้โลกมีปัญหามากกว่าที่คิด

อย่างแรกคืออุณหภูมิของโลกจะลดลงอย่างรวดเร็ว ภัยแล้งจะมาเยือน แถมพืชที่ปลูกไว้ก็จะตายไปหมด ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงขึ้น

 

 

โดยจากการวิเคราะห์ของนักวิทย์ศาสตร์แล้ว อุณหภูมิในหน้าร้อนของโลกช่วงนั้นจะอยู่ที่เพียง 1.5-2.5 องศาเซลเซียสเท่านั้น แถมหมอกที่ว่านี้ยังปกคลุมโลกต่อเนื่องนานถึง 18 เดือนเลยด้วย

ลองนึกภาพว่าโลกปลูกอะไรแทบไม่ขึ้นเลยต่อเนื่องกันปีกว่าๆ ดูสิ เชื่อว่าต้องมีมนุษย์ที่อดตายกันบ้างล่ะ ว่าแต่เจ้าหมอกพวกนี้มาจากไหนกัน?

จากคำอธิบายของมหาวิทยาลัยเมนของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าในปีนั้นจะเกิดเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่ไหนสักแห่งในโลก และอาจจะไม่ใช่แค่ลูกเดียวด้วย

 

 

นั่นทำให้ฝุ่นขี้เถ้าของภูเขาไฟกระจายไปทั่วโลก เกิดเป็นหมอกที่บดบังดวงอาทิตย์ในเวลาต่อมา

ดังนั้นหากใครรู้สึกว่าชีวิตในปีนี้มันแย่หรือเกิน ก็ลองคิดในแง่ดีดูแล้วกันว่าอย่างน้อยๆ ดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้หายไปอย่างต่อเนื่อง 18 เดือนเหมือนในปี 536

 

ที่มา allthatsinteresting

Comments

Leave a Reply