ขึ้นชื่อว่า ‘สงคราม’ ไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่ความหายนะและความโศกเศร้า
แม้แต่ฝ่ายผู้ชนะเอง อาจจะรู้สึกถึงชัยชนะที่ได้มาท่ามกลางความสูญเสีย…
สำหรับไฟสงครามที่ยังไม่มีท่าทีจบสิ้น ระหว่าง “กลุ่มรัฐอิสลาม” กับ “นานาชาติ” ยังคงดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2014 ที่เริ่มเข้าบุกยึดพื้นที่ประเทศซีเรียและแผ่ขยายไปทั่วอาณาเขตในประเทศใกล้เคียง
จากพื้นที่อยู่อาศัยกลางเมืองของประชาชน กลายมาเป็นสนามรบในทันที ประชาชนคนทั่วไปต่างต้องหลบหนีออกมา เพื่อเอาชีวิตรอดจากสงครามกลางเมือง โดยที่ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือเกี่ยวข้องใดๆ
Charlotta Turner
หนึ่งในเรื่องราวนั้นก็เป็นของ Charlotta Turner ศาสตราจารย์สาขาเคมีวิเคราะห์ จากมหาวิทยาลัย Lund University ประเทศสวีเดน
ได้ส่งทีมทหารรับจ้างมืออาชีพ เพื่อเข้าไปช่วยชีวิตนักศึกษาที่อยู่ภายใต้การดูแลของเธอ พร้อมกับครอบครัว ออกมาจากพื้นที่สงครามของรัฐอิสลาม…
Firas Jumaah นักศึกษาปริญญาเอก
ในปี 2014 เธอได้รับข้อความจาก Firas Jumaah นักศึกษาระดับปริญญาเอก โดยระบุว่าเขาไม่อาจทำธีสิสให้เสร็จได้ เนื่องจากไม่สามารถเดินทางกลับมายังมหาวิทยาลัยได้ทันภายใน 1 สัปดาห์
เขาและครอบครัวของเขา ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในโรงงานฟอกผ้าร้าง ท่ามกลางเสียงปืนจากกลุ่มนักรบของรัฐอิสลาม ที่โหมไปทั่วทั้งเมือง
โดยที่นาย Jumaah เองเป็นชาวอิรัก ที่นับถือยาซีดิ กลุ่มความเชื่อทางศาสนาเก่าแก่ที่มีมาก่อนอิสลาม และมีความเกลียดชังกลุ่มรัฐอิสลาม
“ผมไม่เหลือความหวังที่จะมีชีวิตรอดเลย ผมรู้สึกสิ้นหวังมาก ผมแค่อยากจะบอกอาจารย์ที่ปรึกษาของผมว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น ผมคิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์จะช่วยอะไรผมได้” Jumaah เปิดใจกับนิตยสารของมหาวิทยาลัย Lund’s University Magazine
นาย Jumaah นั้นอาสาเดินทางกลับไปในพื้นที่สงคราม หลังจากที่ภรรยาของเขาโทรศัพท์มาบอกว่า กลุ่มนักรบของรัฐอิสลามกำลังจะบุกยึดหมู่บ้านใกล้เคียง คร่าชีวิตผู้ชายและจับตัวผู้หญิงเพื่อนำไปเป็นทาส
“ภรรยาของผมหวาดวิตกมาก ทุกคนรู้สึกช็อคกับสิ่งที่พวกเขาทำ ผมจึงตัดสินใจนั่งเครื่องบินเที่ยวแรกของวันเพื่อไปหาครอบครัว ชีวิตผมจะเป็นอย่างไรหากเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวผม?” Jumaah กล่าวถึงความรู้สึกในตอนนั้น
แต่ทว่าศาสตราจารย์ Turner ไม่ยอมปล่อยให้นักศึกษาของเธอต้องตาย โดยที่เธอไม่พยายามทำอะไรบางอย่างเพื่อเขา…
“สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นเป็นอะไรที่รับไม่ได้ ฉันรู้สึกโกรธมากที่กลุ่มรัฐอิสลามเคลื่อนไหวแบบนี้ ทำให้นักศึกษาปริญญาเอกของฉันและครอบครัวของเขาต้องเผชิญกับความโหดร้าย และขัดขวางการทำวิจัยอีกด้วย”
ศาสตราจารย์จึงทำการส่งเรื่องไปให้ทางมหาวิทยาลัยรับทราบ และส่งต่อไปยังผู้อำนวยการหน่วยงานความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย Per Gustafson
“เรียกได้ว่าเหมือนเขากำลังรอคอยภารกิจแบบนี้มานานแล้ว Per Gustafson บอกว่าเรามียานพาหนะและหน่วยงานด้านความมั่นคงที่พร้อมลุยงานจากทั่วทุกมุมโลก” Turner กล่าว
Per Gustafson
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน Gustafson ได้ทำการว่าจ้างกลุ่มทหารรับจ้างระดับมืออาชีพ เพื่อไปทำภารกิจช่วยเหลือและกู้ภัย พาตัวนักศึกษาปริญญาเอกพร้อมกับครอบครัว ออกมาจากพื้นที่สงคราม
เมื่อส่งทีมทหารรับจ้างเข้าไป ประกอบไปด้วยรถยนต์ประเภท Landcruiser 2 คัน แต่ละคันจะมีทหารรับจ้างพร้อมอาวุธครบมือประจำอยู่ 4 นาย
เข้าไปถึงพื้นที่ที่นาย Jumaah หลบซ่อนอยู่ พาตัวเขาพร้อมครอบครัว (ภรรยาและลูกเล็กอีก 2 คน) ไปส่งที่สนามบิน Erbil เขตเคอร์ดิสถาน ประเทศอิรัก
“ผมไม่เคยรู้สึกถึงสิทธิพิเศษขนาดนี้มาก่อน มีความเป็น VIP แต่ในขณะเดียวกัน ผมก็รู้สึกเป็นคนขี้ขลาด เพราะต้องทิ้งแม่กับน้องสาวไว้ที่นั่น” Jumaah ให้สัมภาษณ์
โชคดีตรงที่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว ทั้งครอบครัวของนาย Jumaah สามารถเอาชีวิตรอดจากการบุกรุกของกลุ่มรัฐอิสลามได้ ในขณะที่ Jumaah เดินทางกลับมายังสวีเดนเพื่อสำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาเอก
ปัจจุบัน Jumaah ทำงานในบริษัทเกี่ยวกับยาในเมือง Malmö และครอบครัวของเขาก็จ่ายเงินคืนให้กับทางมหาวิทยาลัยเกือบหมดแล้ว หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจกู้ชีพในครั้งนั้น
“มันเป็นภารกิจที่มีเอกลักษณ์มากๆ เท่าที่ผมรู้ก็คือ ไม่มีมหาวิทยาลัยไหนเคยมีส่วนร่วมในลักษณะแบบนี้มาก่อนเลย” นาย Gustafson กล่าวปิดท้าย
ที่มา: lu.se, telegraph, insidehighered, indiatimes, sputniknews, thelocal
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.