ย้อนกลับไปเมื่อหลายทศวรรษก่อน ในช่วงยุค 1950 ได้มีการค้นพบเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์โบราณที่มีอายุราวๆ 8,000 ปีในโปแลนด์
นี่เป็นเศษชิ้นส่วนกะโหลกของมนุษย์ ที่ถูกพบพร้อมๆ กับเครื่องมือหินเหล็กไฟ ซึ่งทำให้มีความเป็นไปได้ว่าเจ้าของกะโหลกจะเคยเป็นนักล่าสัตว์มาก่อน และใกล้ๆ กันนั้นเองยังมีโครงกระดูกของคนที่ถูกเผาจนตายอีกด้วย
ร่องรอยที่พบบวกกับรอยแผลบนกะโหลกนี้เอง ทำให้ชายผู้เป็นเจ้าของกะโหลก ถูกเชื่อกันว่าถูกสังหารโดยคนในสมัยนั้น ก่อนที่จะนำร่างไปย่างไฟกินในเวลาต่อมา
แต่เมื่อล่าสุดนี้เอง จากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้อีกครั้ง นักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบกับความจริงที่น่าสนใจเข้าจนได้ นั่นเพราะชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกชิ้นนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ได้โดนกินแต่อย่างใด
เพราะจากการตรวจสอบเศษชิ้นส่วนกะโหลกอีกครั้ง ดูเหมือนว่าบาดแผลบนกะโหลกที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมองว่าเป็นสาเหตุการตายของมนุษย์โบราณคนนี้นั้น แท้จริงแล้วมีร่องรอยการฟื้นตัวอยู่
นั่นหมายความว่าแม้จะได้รับบาดแผลดังกล่าวมา ชายผู้เป็นเจ้าของชิ้นส่วนกะโหลกก็ยังไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างใด แถมยังมีความเป็นไปได้มากที่ว่า เขาจะมีชีวิตต่อไปอีกอย่างน้อยๆ หนึ่งสัปดาห์หลังจากได้บาดแผลมาเลยด้วย
การค้นพบนี้ทำให้แนวคิดที่ว่าชายคนดังกล่าวถูกฆ่าเพื่อยังไฟกิน กลายเป็นเรื่องที่ไม่มีหลักฐานไปโดยปริยาย และสาเหตุการตายของชายคนนี้เองก็กลายเป็นเรื่องที่ต้องมีการตรวจสอบกันอีกครั้งไป
ถ้าอย่างนั้นแล้วรอยแผลไฟไหม้บนกระดูกนั้นมาจากไหนกัน? สำหรับเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์เองได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่าน่าจะมาจากการเผาศพในพิธีกรรมเสียมากกว่า
เพราะในสมัยนั้นเคยมีการค้นพบร่องรอยของการทำพิธีกรรมในงานศพ ทั้งด้วยวิธีการฝังและวิธีการเผามาแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตามข้อสันนิษฐานในส่วนนี้ ยังไม่มีหลักฐานลองรับเท่าที่ควร เนื่องจากโครงกระดูกที่โดนเผานั้น แทบไม่สามารถเก็บหลักฐานทาง DNA ได้เลย จนทางนักวิทยาศาสตร์ไม่อาจฟันธงได้ด้วยซ้ำว่าชายคนนี้แท้จริงแล้วเสียชีวิตเพราะอะไร
เรื่องเดียวที่เรารู้ คือเรื่องราวของชายคนนี้เมื่อ 8,000 ปีก่อน มันซับซ้อนกว่าที่เราคิดเอาไว้มากนั่นเอง
ที่มา livescience
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.