ในเดือนกันยายนปี ค.ศ. 1788 กองทัพออตโตมันเดินทางมาถึงเมือง Karansebes และพบว่ากองทัพฮาพส์บวร์ค (ออสเตรีย) ที่เป็นศัตรูนั้น อยู่ในสภาพย่อยยับทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นทำให้ทางออตโตมันสามารถยึดเมือง Karansebes ไว้ได้โดยที่แทบไม่ต้องเสียทหารแม้แต่นายเดียว แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นก็นำมาซึ่งคำถามที่ว่าตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับกองทัพของศัตรูกันแน่
เรื่องของเรื่องคือทหารฝั่งฮาพส์บวร์คนั้นประกอบไปด้วยคนหลากหลายเชื้อชาติ (ออสเตรีย เช็ก เยอรมัน ฝรั่งเศส โครเอเชีย เซอร์เบีย และโปแลนด์ในปัจจุบัน) ทำให้แม้ว่าพวกเขาจะมีกองกำลังอยู่มาก แต่ก็ต้องแลกมาด้วยการสื่อสารที่มักจะมีการเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ
และเรื่องราวมันก็เกิดขึ้นในคืนวันที่ 17 กันยายน ค.ศ. 1788 ระหว่างที่กองทัพฮาพส์บวร์คกำลังประจำการในเมือง Karansebes อยู่นั่นเอง
ในวันนั้น หน่วยลาดตระเวนของกองทัพฮาพส์บวร์คหน่วยหนึ่งได้พบกับ กลุ่มนักเดินทางที่มาตั้งแคมป์อยู่ใกล้ๆ แม่น้ำ และถูกนักเดินทางเชิญชวนให้ดื่มเหล้าด้วยกัน เพื่อเป็นการผ่อนคลายจากการทำงานหนักมาทั้งวัน
แต่ในระหว่างที่พวกเขาเมาแบบสุดๆ นั่นเอง พวกเขากลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทขึ้น จนท้ายที่สุดก็นำไปสู่เหตุ “ปืนลั่น”
เสียงของปืนนั้นดังข้ามแม่น้ำไปถึงทหารที่ประจำการอยู่ในตัวเมืองจนทำให้ทหารจำนวนหนึ่งแตกตื่น เข้าใจว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมาจากกองทัพฝั่งศัตรู และตะโกนออกมาว่า “เติร์ก เติร์ก!!”
เสียงของพวกเขาดังข้ามแม่น้ำกลับไปยังทหารที่กำลังสังสรรค์และเมาได้ที่ ทำให้พวกเขารีบกลับไปที่ค่ายเพื่อช่วยเพื่อนๆ ที่ (พวกเขาคิดว่า) กำลังตกอยู่ในอันตราย
ปัญหาคือทันทีที่เห็นทหารจำนวนหนึ่งเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ในเงามืด ทหารที่ประจำการในเมืองซึ่งกำลังแตกตื่นก็เชื่อว่าทหารที่พวกเขาเห็นเป็นศัตรูและยิงปืนใส่ทันที และแน่นอนว่าทหารที่ถูกยิงก็คิดว่าค่ายตัวเองถูกยึดไปแล้วและยิงปืนใส่อีกฝั่งเช่นกัน
ในเวลานั้นนายทหารเยอรมันที่สังเกตว่าทหารเริ่มยิงกันเองก็รีบตะโกนสั่งให้ทหารหยุดยิงกันเสียที แต่ด้วยความที่ภาษาต่างกัน ทหารที่ไม่ใช่ชาวเยอรมันก็คิดว่าคำสั่งหยุดนั้นเป็นการตะโกนเรียกกำลังใจของชาวตุรกีไปเสียอีก จนทำให้เหตุการณ์บานปลายไปยิ่งกว่าเก่า
นั่นทำให้กว่าที่ทหารจะรู้ตัวและหยุดยิงกันมันก็ตอนที่ฟ้าสางแล้ว และในเวลาเพียงหนึ่งคืน พวกเขาก็เสียกองกำลังไปเป็นพันๆ คน และไม่อยู่ในสภาพที่พร้อมจะรับมือกับทหารออตโตมันที่เขาโจมตีเมืองจริงๆ ในอีกสองวันให้หลัง
จริงอยู่ที่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ ยังคงเป็นที่ถกเถียงโดยนักโบราณคดีบางส่วนก็ตาม (เนื่องจากเป็นไปได้ยากที่ความเข้าใจผิดจะบานปลายได้ขนาดนั้น) แต่หากเหตุการณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นจริงๆ นี่ก็จะเป็นเรื่องสอนใจอย่างดีว่าความไม่มีสติสามารถสร้างความเสียหายได้มากมายขนาดไหน
ที่มา allthatsinteresting
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.