เกิดเป็นเรื่องราวระหว่างลูกค้ากับโรงแรม 5 ดาวแห่งหนึ่งที่กล่าวหาลูกค้าคนดังกล่าวเป็นผู้ขโมยหมอนไปจำนวน 4 ใบด้วยกัน แต่ทว่ากล่าวหาด้วยหลักฐานเพียงแค่ภาพนิ่งจากกล้องวงจรปิดมุมเดียว
วันเข้าพัก
ลูกค้าผู้เข้าพักที่กลายมาเป็นคู่กรณีกับทางโรงแรมเปิดเผยเรื่องราวผ่านเว็บไซต์พันทิปเผยข้อมูลทางฝั่งตัวเอง โดยระบุว่า ในวันแรกที่เข้าไปพักที่โรงแรม 5 ดาวย่านฝั่งธนบุรี
เข้าเช็กอินแล้วมีการขอหมอนเพิ่ม 3 ใบ ก่อนนอนก็ขอเพิ่มอีก 2 ใบ พร้อมถังแช่กับแก้วไวน์ ตอนนี้มีหมอน 5 ใบ รวมกับที่มีอยู่ในห้องอีก 4 ใบ เป็นทั้งหมด 9 ใบ
เมื่อเข้าสู่วันที่ 2 พนักงานทำความสะอาดเข้ามาทำความสะอาดและเก็บหมอนบางส่วนไป (ไม่ได้ระบุจำนวนว่ากี่ใบ) แต่ลูกค้ารู้สึกว่านอนแล้วไม่เหมือนเดิม จึงขอหมอนเพิ่มอีก 2 ใบ (ก่อนหน้านี้ขอ 5 ใบ ขอเพิ่มรวมแล้ว 7 ใบ)
พนักงานแจ้งว่าเคยมีการขอหมอนเพิ่มไปแล้ว แต่ลูกค้าแจ้งว่ามีคนเข้ามาทำความสะอาดและเก็บหมอนไปจึงขอเพิ่ม เนื่องจากจะได้นอนสบายเหมือนคืนแรก
เหตุผลที่ลูกค้าต้องใช้หมอนเยอะเนื่องจากอยากนอนสบาย เพราะที่บ้านมีหมอนใช้นอนถึง 12-14 ใบ และเวลาขอหมอนเพิ่มจะมีการให้ทิปเสมอ เว้นเสียแต่ไม่มีธนบัตรย่อยให้
วันออกจากโรงแรม
ขณะที่กำลังเช็กเอาท์ออกจากโรงแรม มีการตรวจสอบกันตามปกติ คืนเงินมัดจำจำนวน 2,000 บาท ทว่าในช่วงเย็นมีโทรศัพท์โทรเข้ามาสอบถามเรื่องหมอน
ลูกค้าระบุว่ามีการขอเพิ่มจริงและทิ้งเอาไว้ให้ห้องพักตามปกติ แต่ก็ยังมีโทรศัพท์โทรเข้ามาสอบถามแฟนอีกครั้งในหลายวันให้หลัง แต่ก็ยังไม่มีการดำเนินการอะไร
วันที่หมายเรียกมาถึงหน้าบ้าน
หลังจากผ่านการเข้าพักที่โรงแรมได้ประมาณ 1 เดือน วันที่ 27 พฤษภาคม 2564 มีหมายเรียกจากตำรวจมาติดถึงหน้าบ้าน ใจความในนั้นระบุว่า มีคนร้ายเข้าพักที่โรงแรมและหมอนของโรงแรมถูกขโมยไป จึงขอให้ไปเข้าพบตำรวจ
เมื่อสอบถามตำรวจแล้วได้ใจความว่าทางโรงแรมมาแจ้งความ แต่ตำรวจให้ลงบันทึกประจำวันและเจรจาเคลียร์กันเองก่อน แต่โรงแรมยืนยันจะแจ้งความ ทำให้ต้องออกหมายเรียกมาไต่สวน
พอได้คุยเพิ่มเติมกับทางโรงแรม ได้ความว่าที่ต้องแจ้งความเพราะทรัพย์สินของโรงแรมหาย (หมอน) มีการทวงถามกับคุณผู้ชายที่เป็นแฟนของลูกค้าไปแล้วแต่ไม่ได้คืน
ลูกค้ายืนยันว่าไม่ได้ลักหรือนำออกไปแน่นอน แม่บ้านก็ตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว เงินมัดจำก็ได้คืนแล้ว มีการโทรศัพท์มาถามเรื่องหมอนกับแฟนจริง ขอยืนยันว่าไม่รู้เรื่องหมอนหายและไม่ได้เป็นคนเอาไป
ในตอนแรกโรงแรมบอกว่าหมอนหายไปทั้งหมด 9 ใบ ทำให้ลูกค้าตกใจมาก เนื่องจากหมอนจำนวน 9 ใบใครจะเอาออกไปได้ง่ายขนาดนั้น พอขอให้มีการตรวจสอบอีกครั้งก็พบว่ามีหมอนหายไป 4 ใบ เป็นมูลค่า 3,632 บาท
วันนัดไกล่เกลี่ยเคลียร์กันทั้งสองฝ่าย
ลูกค้าที่ถูกโรงแรมกล่าวหาได้หาหลักฐานเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้เป็นคนขโมยหมอน ในวันที่เข้าพัก ลูกค้ามีภาพถ่ายที่พักจำนวนมากจึงนำมาใช้ประกอบเป็นหลักฐาน
ส่วนทางโรงแรมให้ รปภ. มาพร้อมกับเอกสารต่างๆ นำมาเป็นหลักฐานยืนยันที่โรงพัก แต่ว่าไม่ภาพจากกล้องวงจรปิด ทำให้ทุกฝ่ายต้องตามไปดูกันที่โรงแรม
แต่ปรากฎว่าเมื่อมาถึงโรงแรมฮาร์ดดิกส์กล้องวงจรปิดเสีย มีแค่ภาพนิ่งเพียงภาพเดียวที่ถ่ายเอาไว้ตอนเปิดดูไล่เรียงเหตุการณ์หมอนหาย เป็นภาพที่ลูกค้าเดินเข้าออกจากห้องพัก เป็นภาพมุมนั้นแค่มุมเดียว ไม่มีมุมอื่นๆ มาประกอบ
ลูกค้าได้นำกระเป๋าที่เข้าพักในวันนั้นติดไปด้วย เพื่อให้โรงแรมลองยัดหมอนใส่ลงไปเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจว่า หมอนของโรงแรมไม่มีทางใส่กระเป๋าแอบขโมยออกไปได้
จนในที่สุดแล้วทางโรงแรมจึงยอมถอนแจ้งความไปในที่สุด จากการรอดูกล้องนาน 1 ชั่วโมง แต่กล้องเสียดูไม่ได้ ไม่เอาความและไม่มีการขอโทษใดๆ เพิ่มเติม
คลิปการเข้ามาดูกล้องวงจรปิดที่โรงแรมและการพิสูจน์ยัดหมอนใส่กระเป๋า
.
.
.
ทั้งนี้ มีชาวเน็ตแนะนำให้ทางเจ้าของเรื่องทำการฟ้องกลับเรียกค่าเสียหาย จากสิ่งที่เห็นและเกิดขึ้นทั้งหมด วิเคราะห์แล้วว่าเป็นความผิดของโรงแรมเอง
เนื่องจากแม่บ้านตรวจสอบแล้ว โรงแรมคืนเงินมัดจำแล้ว ก็มั่นใจได้ว่าของครบตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หากเกิดของหายขึ้นมาก็คือความผิดของฝั่งนั้นเอง
อีกทั้งโรงแรมเพิ่งมารู้ตัวในช่วงเย็นของวันเช็กเอาท์ ในช่วงเวลาหลายชั่วโมงที่ผ่านมามีใครเข้าและออกห้องนั้นบ้าง หลักฐานในวันนี้มีอะไรหลงเหลืออยู่ หากกล้องวงจรปิดเสียก็จะมาโทษลูกค้าไม่ได้
อีกทั้งกล่าวหาลูกค้าลักขโมยหมอนออกจากห้อง แต่กล้องวงจรปิดเสีย จะกล่าวหากันได้อย่างไร ส่วนที่ลูกค้านำกระเป๋ามาพิสูจน์นั้นก็ถือว่าเป็นหลักฐานที่เพียงพอแล้ว
ที่มา: pantip