จากการที่ภาครัฐ มีมาตรการให้ร้านอาหารในหลายจังหวัด งดนั่งทานในร้าน ให้ซื้อกลับได้เท่านั้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการออกมาวิจารณ์ถึงนโยบายดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ร้านอาหารหลายๆ ร้าน พากันออกมาพูดถึงความเดือดร้อน ซึ่งนโยบายดังกล่าวน่าจะกระทบกับยอดขายโดยตรง (และยังไม่มีความชัดเจนด้านการเยียวยาด้วยหรือไม่?)
นอกจากนี้ ทางอ้อมก็คือลูกค้าหลายๆ ร้าน อาจจะมีรายได้น้อยลง ยิ่งส่งผลให้คนซื้ออาหารนอกบ้านทานน้อยลงด้วย
สรุปมาตรการ ล็อกดาวน์จริงเหรอ? ล็อกแค่ไหนยังไง?
ล่าสุด มีประเด็นดราม่าสืบต่อมาจากเรื่องดังกล่าว นั่นเพราะมีเพจไลฟ์โค้ชท่านหนึ่ง ออกมาพูดนำเสนอแนวทาง 9 ข้อ เพื่อเอาตัวรอดในวิกฤติรอบใหม่นี้
แต่พอโพสต์ไปไม่ทันไร กลับโดนอีกคนหนึ่งซึ่งระบุว่าตัวเองนั้นเป็น “เจ้าของร้านอาหารจริงๆ” ที่เดือดร้อน มาโพสต์แย้งถึงแนวทางทั้ง 9 ข้อ ว่าไม่ค่อยสมเหตุสมผล
ทีนี้ พอมีคนเอา 9 ข้อ ของทั้ง 2 คนมาเปรียบเทียบกัน ก็กลายเป็นกระแสที่ร้อนแรงขึ้นมาในทันที
ตัวอย่างโพสต์ที่จับทั้ง 9 ข้อ ของสองเวอร์ชันมาเทียบกัน
(โพสต์โดยแม่หมู พิมพ์ผกา)
จะเห็นว่าโพสต์ดังกล่าวมีการไลก์มากกว่า 10,000 ครั้ง แชร์กันต่อไปจะ 5,000 ครั้งแล้ว
เพราะฉะนั้นเรามาเปรียบเทียบกันไปทีละข้อ ไปจนครบ 9 ข้อกันดีกว่าเนอะ ว่าคุณจะเห็นด้วยจากฝั่งไหนมากกว่ากัน?
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
1. เช็คสต็อกวัตถุดิบทั้งหมด
ฝั่งเจ้าของร้าน:
1. เช็คแล้วไงต่อ ไม่ต้องเช็คคนทำร้านอาหารเค้าก็รู้ว่าสต็อคเค้าจะอยู่ที่ 3 วัน ถ้ามีคนมาส่ง หรือ 7 วันถ้าต้องไปจ่ายตลาดเอง
ไอ้การตื่นไปเลือกวัตถุดิบเองทุกเช้าแม่งมีแต่ในนิทาน
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
2. แยกประเภทวัตถุดิบ ตามอายุสินค้า
ฝั่งเจ้าของร้าน:
2. แยกหาพ่อง ของแห้งเก็บได้เป็นปี ของสด กลับไปดูข้อ 1
ไม่ต้องเสือกไปบอกเค้าหรอก เค้ารู้ เค้าต้องการยอดขาย ไม่ต้องการรักษาวัตถุดิบ
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
3. วัตถุดิบอายุสั้นวันนี้ จัดโปรให้ทานในวันนี้ และทำเป็นอาหารพร้อมทาน หรือซื้อกลับบ้าน หรือเดลิเวอรี่ หรือแปรรูปอาหารให้เก็บไว้ได้นานๆ
ฝั่งเจ้าของร้าน:
3. จัดโปรให้ทานวันนี้? มึงเล่นประกาศตอนตี 1 กว่าจะตื่นมาเจอข่าว อย่างเร็วก็ตี 5 มีเวลาจัดโปร 4 ชั่วโมงก่อนร้านเปิด?
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
4. ขายวัตถุดิบเป็นชุด ให้ลูกค้าซื้อกลับไปปรุงเองแบบ Ready to Cook
ฝั่งเจ้าของร้าน:
4. ถ้าร้านกูขายขนมเค้ก กูต้องขายวัตถุดิบพร้อมปรุงบวกเตา 3,000 วัตต์ด้วยไหม? แล้วคนกรุงเทพส่วนใหญ่มีแค่ไมโครเวฟไว้ที่ห้องพัก ไม่มีได้มีเตาจีนไฟแรงสูงเอาไว้ผัดกับข้าว มึงจะขายวัตถุดิบให้เค้าไปแดกดิบๆ เหรอ
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
5. สื่อสารประกาศให้ลูกค้าทราบทุกช่องทาง ว่าวันนี้จะเปิดให้บริการในร้านวันสุดท้าย
ฝั่งเจ้าของร้าน:
5. ประกาศทำส้นตีนอะไร ลูกค้ารู้ก่อนเจ้าของร้านอีกว่าจะล็อกดาวน์ มึงนึกว่าประกาศออกไปแล้วลูกค้าจะมาแย่งซื้อทันที?
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
6. หาความร่วมมือกับเพื่อนๆ ร้านอาหารใกล้กัน ในการจัดส่งสินค้า หรือวางสินค้าขายร่วมกัน เปิดจุดรับสินค้าเป็นระเบียบให้กับลูกค้า
ฝั่งเจ้าของร้าน:
6. แบกสต็อกไว้ก็เหี้ยพอแล้ว จะให้ไปเช่าจุดกระจายสินค้าเพิ่ม? กูยอมเทสต็อกทิ้งดีกว่า เค้าก็ใช้ร้านเค้านั่นแหละขายของ จะให้ไปร่วมกันหาหน้าร้านใหม่ให้มันเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อ?
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
7. กระจายสินค้าและวัตถุดิบ ให้ร้านค้าต่างจังหวัด หรือร้านแฟรนไชส์ (ถ้ามี)
ฝั่งเจ้าของร้าน:
7. ถ้าไม่มี?
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
8. เจรจากับซัพพลายเออร์ และสถานที่เช่า เกี่ยวกับการปิดร้าน 30 วัน
ฝั่งเจ้าของร้าน:
8. เจรจากับซัพพลายเออร์ทำไม ร้านปิด ไม่มีการสั่งของ ซัพพลายเออร์ก็ซวยพอๆ กับเจ้าของร้านนั่นแหละ
ส่วนเจ้าของสถานที่เค้าก็ไปกู้เงินมาสร้างตึก แบงค์มันก็เรียกเก็บต้น+ดอก มึงต้องไปบอกธนาคารให้พักชำระหนี้ก่อน จะมาบอกให้ผู้เช่าไปเจรจากับเจ้าของตึก
ฝั่งไลฟ์โค้ช:
9. ยิ้มสู้กับทุกอย่างที่เข้ามา เจ้าของและพนักงานต้องช่วยกัน
ฝั่งเจ้าของร้าน:
9. ค ว ย
จบไปทั้ง 9 ข้อแล้ว ผู้อ่านคิดเห็นอย่างไรในประเด็นนี้บ้าง มาร่วมถกประเด็นนี้กันต่อเลยครับ..!!
One Comment
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ข้อสุดท้าย ตอบโจทย์ทุกข้อตรงประเด็น