จากกรณีการแถลงข่าวเห็นชอบการฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิด เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2021 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่าทำให้ในปัจจุบันเรื่องราวความเหมาะสมของการฉีดวัคซีนสลับชนิดนั้น ได้กลายเป็นหัวข้อถกเถียงรุนแรงในสังคมไปแล้วก็ว่าได้
โดยเรามีทั้งฝั่งที่ออกมายืนยันว่าการฉีดวัคซีนเช่นนี้ทำได้จริงแล้วมีผลการวิจัยยืนยัน ในขณะที่อีกฝั่งก็มองว่าฉีดวัคซีนเช่นนี้ยังคงมีความเสี่ยงอยู่มาก เหมือนดั่งที่องค์การอนามัยโลกมีการออกมาประกาศเอาไว้
ล่าสุดนี้เอง ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2021 ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยาคลินิก คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้มีการออกมา โพสต์ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า
“ทางศูนย์ได้มุ่งมั่นทำการศึกษาวิจัย โดยทีมนักวิทยาศาสตร์และคณะแพทย์มากกว่า 30 ชีวิตที่ทำอยู่ขณะนี้
โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่อง covid 19 vaccine ที่มีโครงการทำอยู่มากกว่า 5 โครงการ เพื่อนำมาใช้อย่างเร่งด่วนในประเทศไทยให้เหมาะสมกับทรัพยากรที่มีอยู่
การสลับชนิดของวัคซีน เราทำมาโดยตลอด
และเห็นว่า การให้วัคซีนเข็มแรกเป็นชนิดเชื้อตาย
แล้วตามด้วยไวรัส Vector จะกระตุ้นได้ดีมาก
การให้วัคซีนเชื้อตายที่เป็นทั้งตัวไวรัส เปรียบเสมือนการทำให้ร่างกายเราเคยติดเชื้อ และมีภูมิคุ้มกันขึ้นมาระดับหนึ่ง หรือสร้างความคุ้นเคยกับระบบภูมิต้านทาน เมื่อกระตุ้นด้วยต่างชนิดโดยเฉพาะไวรัสเวกเตอร์
จึงเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า booster effect เหมือนกับคนที่หายแล้วจากโรคโควิด 19 และได้รับวัคซีนเสริมอีก 1 ครั้ง ก็จะมีการกระตุ้นภูมิต้านทานขึ้นได้เช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้ทำการทดลองแล้ว
การศึกษานี้เราไม่ได้ทำเฉพาะการตรวจวัดภูมิต้านทานเท่านั้น เรายังได้ทำภาวะขัดขวางไวรัส inhibition test ที่สามารถขัดขวางได้ดีมาก เฉลี่ยถึง 95 เปอร์เซ็นต์ และมีหลายรายถึง 99 เปอร์เซ็นต์”
ในทำนองเดียวกันการให้เชื้อตาย 2 เข็ม ยิ่งสอนให้ร่างกายเหมือนกันติดเชื้อจริงแบบเต็มๆ หรือแบบรุนแรง แล้วเมื่อมากระตุ้นด้วยวัคซีนไวรัส Vector จึงมี Booster effect ที่สูงมาก การศึกษาวิจัยของเราไม่ได้หยุดอยู่แค่นี้
เรากำลังทำการศึกษากับสายพันธุ์ที่กลายพันธุ์ delta และระบบภูมิคุ้มกันชนิดที่เรียกว่า T cell หรือ CMIR
แน่นอนการศึกษานี้ ฝรั่งไม่ทันแน่นอน
เพราะฝรั่งไม่ได้ใช้วัคซีนเชื้อตาย และจีนก็ไม่ได้ใช้วัคซีนไวรัสเวกเตอร์อย่างกว้างขวางในขณะนี้
ข้อมูลขณะนี้ผมมีเป็นจำนวนมาก มากพอที่จะสรุป เพราะทุกท่านให้ความร่วมมือดีมาก รวมทั้งอาสาสมัครที่อยู่ในการศึกษา เป็นจำนวนมาก ผมต้องขอขอบคุณอย่างยิ่ง
ข้อดีที่ทำให้ทางกระทรวงสาธารณสุขยอมรับ และนำมาปรับใช้ในเชิงนโยบายจากการศึกษานี้
1. ทำให้ผู้ที่ได้รับวัคซีนได้ภูมิต้านทานที่สูงภายในเวลา 6 สัปดาห์ ซึ่งเร็วกว่าการให้วัคซีนไวรัสเวกเตอร์ในประเทศไทยที่จะได้ภูมิต้านทานสูง ต้องใช้เวลา 12 สัปดาห์ เหมาะสมกับการที่โรคกำลังระบาดอยู่ในขณะนี้ซึ่งเรารอไม่ได้
2. เป็นการปรับใช้ทรัพยากรที่เรามีอยู่ขณะนี้ที่จำกัดให้ได้ประโยชน์สูงสุด
3. การกระตุ้นเข็ม 3 ด้วย virus Vector สามารถทำได้ให้เกิดภูมิต้านทานที่สูงมาก โดยไม่ต้องรอวัคซีนชนิดอื่น เพื่อประโยชน์ของบุคลากรทางการแพทย์
ข้อมูลที่ได้ขณะนี้มีเป็นจำนวนมากพอ โดยเฉพาะการฉีดสลับเข็ม ข้อมูลที่ถูกในบันทึกในหมอพร้อมมีมากกว่า 1, 200 ราย โดยที่ไม่มีอาการข้างเคียงที่รุนแรงแต่อย่างใด””
โดยนอกจากข้อมูลในจุดนี้ ศ.นพ. ยง ยังกล่าวเพิ่มเติมไว้ด้วยว่า
“ผมเองท้อใจหลายครั้งที่ไม่อยากจะมาโพสต์ให้ความรู้ และมีการหยุดเป็นครั้งคราว แต่ก็มีผู้ทักท้วงมาเป็นจำนวนมาก ว่าถ้าหยุดก็จะเข้าทางของผู้ไม่หวังดี
ผมเองมุ่งทำการศึกษาวิจัยมาเกือบ 40 ปี เพื่อให้ความรู้กับชาวโลก ไม่เฉพาะประเทศไทย เพราะเผยแพร่ในวารสารนานาชาติมาตลอด
สังคมไทยในภาวะวิกฤตแบบนี้ แทนที่จะร่วมมือกัน สามัคคี แต่กลับเป็นพยายามที่จะพูดจาถากถาง ดึงเข้าสู่การเมือง ในบางครั้งมีการกล่าวหาที่เลื่อนลอย และไม่เป็นความจริง
มีหลายคนเสนอให้ กฎหมายเข้ามาจัดการ ผมเองไม่เคยไปสนใจอ่านเลยไม่เดือดร้อน แต่ที่เดือดร้อนมากกลับเป็นลูกศิษย์ที่ยังเคารพอาจารย์ ส่วนลูกศิษย์ที่ไม่เคารพก็ไม่เป็นไรผมไม่เคยถือ และขณะนี้ ก็ได้มีการจับแล้ว 1 คน และจะคงมีรายต่อๆ ไป
โดยที่ผมจะยุ่งเกี่ยวให้น้อยที่สุด ขอให้เป็นไปตามกฎหมายบ้านเมือง เพราะบ้านเมืองมีกฎหมายที่ทุกคนต้องเคารพ และจริยธรรม ที่ต้องให้เกียรติกันและกัน”
เรียกได้ว่าเป็นการชี้แจงจากอีกฝั่งหนึ่งที่น่าสนใจเลยทีเดียว และแน่นอนว่าข้อมูลในจุดนี้ก็คงจะมีประโยชน์อย่างมากเลยในการพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับฉีดวัคซีนโควิด-19 สลับชนิดในอนาคต
ว่าแต่เพื่อนๆ อ่านเรื่องนี้แล้วมีความเห็นอย่างไรกันบ้าง ลองเอามาพูดคุยแบ่งปันกันได้นะ
ที่มา matichon และเฟซบุ๊ก Yong Poovorawan
One Comment
Leave a Reply
You must be logged in to post a comment.
ความคิดพอๆ กับผู้ใหญ่ที่เชื่อว่าน้ำหมักป้าเช็งรักษาได้ทุกอย่าง