เรียกว่าเป็นการประกาศลาออกจากงานแบบโลกจำเลยก็ว่าได้ สำหรับพยาบาลรายหนึ่งที่ออกมาโพสต์ความในใจ หลังจากที่ได้สัมผัสกับการทำงานรายการ
ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Smook Sudarut โพสต์ข้อความเล่าเรื่องของตนเองเกี่ยวกับเรื่องการลาออกจากราชการ โดยข้อความจากโพสต์ดังกล่าวเล่าว่า ก่อนที่จะมาบรรจุเป็นข้าราชการเธอเคยทำงานที่อื่นมาก่อน
แต่ในระหว่างทำงานอยู่ก็มองหาโอกาสอื่นไปด้วย จนในที่สุดก็สอบราชการได้บรรจุทที่กรุงเทพ
ข้อความจากโพสต์ดังกล่าวเขียนเอาไว้แบบนี้
“#ขอกราบลาออกจากข้าราชการ
บทนำ
อย่าเรียนจบแล้วกลายเป็นแค่บัณฑิต จงเป็นตำนาน
ตำนานแบบที่อาจารย์ยังด่าให้รุ่นน้องฟังอยู่ ทั้งที่จบมานานแล้ว
(พิมพ์ยาวมาก น่าจะยาวที่สุดที่จะโพสแล้ว)
เริ่ม! ดิฉันคือชะนี ที่สอบติดทุนได้เป็นพยาบาล
การมาเรียนในวงการนี้ก็ไม่ได้มีจิตใจเมตตาปราณีอะไรนักหรอก แค่ทำตามหน้าที่ลูกที่ดี ศิษย์ที่น่ารัก ในบางอารมณ์ถ้าคนไหนกวนตีนใส่เรามากๆ เราก็อยากหยุมหัวเขาได้เหมือนกัน
เรียนจบมาทำงาน ใช้ชีวิตแบบวนลูป(ตื่น กินข้าว อาบน้ำ ขึ้นเวร นอน ตื่น กินข้าว อาบน้ำ ขึ้นเวร) มันก็จะวนๆแบบนี้ ช่วงแรกอยู่ในตำแหน่งพนักงานประกันสังคมขึ้นเวรจนเงินเดือนหมื่น7ไม่ต้องใช้ เพราะแค่ค่าเวรก็3-4หมื่นแล้ว(ใช้สังขารแลกมา)
แต่บ่อยครั้งที่การไปทำงานก็ทำให้เจออะไรบางอย่าง ไม่เป็นไปตามที่เราคาดหวัง +ใช้ร่างกายมากๆ มันเลยเกิดอารมณ์อยากลาออกบ่อยๆ หรือไม่ก็มองหาทางที่เหมาะกับตัวเองตลอด(ตลอดจริงๆ)
ใช้ชีวิตมาเรื่อยๆเปื่อยๆ
แต่ระหว่างนั้นก็ไม่เคยปฏิเสธโอกาสที่เข้ามานะ มีสอบอะไรได้ก็ไปสอบ(เลือกบรรจุไปแม่ฮ่องสอน ปัตตานีก็ทำมาแล้ว) จนสุดท้ายได้บรรจุข้าราชการที่กทม.”
ส่วนหนึ่งที่ทำให้เธอตัดสินใจเข้ามารับราชการก็เพราะว่า เป็นหน้าที่การงานที่มั่นคง ทำให้ครอบครัวสบายใจ แต่ทว่าเมื่อได้ทำงานจริงๆ แล้วเธอกลับพบว่าความจริงกับสิ่งที่คิดช่างแตกต่างกันมาก
เงินเดินที่ได้ไม่พอกับค่าครองชีพ ทำงานมาได้ประมาณปีกว่าก็เริ่มมองไม่เห็นคุณค่าตัวเองต่องานที่ทำ จึงมีความคิดที่จะลาออก
“ส่วนนึงก็ทำเพื่อตัวเอง หวังใจว่าการเป็นพยาบาล+ข้าราชการมีหน้าที่การงานการเงินที่มั่นคง จะทำให้แม่ ให้ครอบครัวสบายใจ
แต่พออะไรที่มันไม่ใช่ มันก็เหมือนเราใช้ชีวิตไปวันๆ กับเงินเดือนหมื่น5+มีสิทธิข้าราชการ ที่ใครๆก็บอกว่ามั่นคง อยู่มาจนได้ปีกว่าๆ เริ่มไม่เห็นคุณค่าของตัวเองต่องานที่ทำละ(จะบอกว่ามันไม่ใช่ ก็ไม่เชิง) ประกอบกับเงินเดือนที่ได้มันสวนทางกับค่าครองชีพ
ตอนแรกจะย้ายกลับบ้านที่ระยอง ดำเนินการเตรียมเส้นทางพร้อม แต่ก็ปัดตกเพราะเรามองว่ายังไงก็ไม่พ้นชีวิตประมาณเดิม
เราเลยเริ่มมีความคิดที่จะไม่เป็นข้าราชการละ แต่!!!!ก็มีคนห่วงบวกพูดใส่ คงเตือนสติแหละ) ในเรื่องที่ว่าเป็นข้าราชการมันมั่นคงแล้ว มั่นคงเพราะรัฐบาลเลี้ยงตอนแก่หลังเกษียณและไม่ถูกไล่ออกง่ายๆ
เรารับฟังนะ แต่คนหน้าเงินแบบเราอย่างที่บอก เรายังมองความมั่นคงก็คือความมั่งคั่ง ถ้ายังหาเลี้ยงตัวเองได้ และมีเงินใช้ยามฉุกเฉิน เราก็รู้สึกว่านี่คือความมั่นคงแล้ว มั่นคงเพราะราชการถูกไล่ออกยาก
เออ….ก็นะ รู้ๆกัน
แต่ชีวิตเราทำไมต้องมานั่งทำงานแบบกลัวโดนไล่ออก?เราไม่ได้เกิดมาเพื่อได้ลองใช้ชีวิตแบบเต็มที่รึไง บางคนคงมองว่าเราโง่ที่ทิ้งงานกับตำแหน่ง..ที่มีแต่คนอยากได้ไป”
อย่างไรก็ตามในตอนท้ายของโพสต์เธอบอกว่า ความสุขของชีวิตและเป้าหมายแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ละคนมีความชอบ และทัศนคติต่อความสำเร็จในชีวิตที่แตกต่างกัน
บางคนมองว่าข้าราชการคือความสำเร็จ ส่วนตัวเธอไม่ได้คิดแบบนั้นและขอเลือกทำตามเป้าหมายของตัวเอง
“แต่ย้ำนะว่า…นิยามความสุขของชีวิตและเป้าหมายของการเกิดมาใช้ชีวิตอยู่มันไม่เหมือนกัน”
แต่ละคนมันก็มีความชอบ และทัศนคติต่อความสำเร็จในชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนมองว่าข้าราชการคือความสำเร็จของตัวเอง เราก็เคยมีความคิดนั้น แต่พอได้มาเป็นแล้ว มันดันไม่ใช่ว่ะ
อาชีพมันก็คืออาชีพ เราคงไปห้ามหรือเปลี่ยนความคิดคนอื่นไม่ได้ ทุกอาชีพก็มีคุณค่าหาเงินเลี้ยงตัวเองได้เหมือนกัน แค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำก็พอ
ขอแค่อย่าปิดกั้นตัวเอง และอย่าเป็นคนในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น ถ้าให้เราปล่อยให้ตัวเองเป็นในแบบที่คนอื่นอยากให้เป็น หรือเป็นแบบนั้นเพราะจำใจเป็น
แล้วเมื่อไหร่เราจะได้เป็นตัวเองในแบบที่ตัวเราอยากจะเป็นสักที สุดท้ายเราชอบคำนี้
“ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ให้ไกล ทำได้ก็เป็นเรื่องดี ทำไม่ไหว…อย่างน้อยก็รู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆโดยไม่มีอุปสรรค”
โพสต์ดังกล่าวถูกแชร์ต่อมากกว่า 1,600 ครั้ง กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงอย่างมาก หลายคนที่ชื่นชมเจ้าของโพสต์ที่กล้าตัดสินใจเลือกเส้นทางของตัวเอง
เรียบเรียงโดย #เหมียวเวจจี้