เชื่อว่าหลายๆ คนอาจจะเคยได้ยินกันมาบ้าง ว่าบนร่างกายของมนุษย์เรานั้นหลายๆ ครั้งก็อาจจะมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กแอบอาศัยอยู่บ่อยๆ อย่างในกรณีของ “เดโมเด็กซ์” ที่มักจะหากินและผสมพันธุ์อยู่บนใบหน้าของเรา
แต่ล่าสุดนี้เอง เราก็เพิ่งจะมีกรณีการค้นพบชีวิตบนร่างกายคนที่ หาได้ยากสุดๆ จนถึงขั้นต้องเป็นกรณีศึกษาออกมาให้เห็นกันแล้ว
เมื่อในประเทศจีนได้มีเด็กสาวคนหนึ่ง ต้องเข้ารักษาตัวหลังจากที่เธอถูกพบว่ามี “ตัวโลน” จำนวนมาก อาศัยอยู่บน “ขนตา” เสียอย่างนั้น
เรื่องราวในครั้งนี้เกิดขึ้นที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยปักกิ่งแห่งที่ 3 ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เมื่อเด็กหญิงอายุ 8 ขวบไม่ระบุนามรายหนึ่ง เข้ามารักษาตัวในโรงพยาบาลหลังจากมีอาการคันเปลือกตาเป็นเวลาสามสัปดาห์
เมื่อทำการตรวจสอบตาของเธอแพทย์ก็พบว่าเปลือกตาของเด็กคนนี้ในปัจจุบันได้กลายเป็นสีแดงจากการระคายเคือง แถมเมื่อมองส่องตาเธอดูอย่างละเอียด พวกเขาก็พบว่าที่ขนตาของเด็กคนนี้ มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก และไข่ของมันปรากฏอยู่เป็นจำนวนมากเลยด้วย
อ้างอิงจากรายงานของทีมแพทย์สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ถูกพบในครั้งนี้มีชื่อว่า “ตัวโลน” (Phthirus pubis) แมลงขนาดเล็ก ที่มีลักษณะคล้ายตัวเหา และเป็นปรสิตที่ติดต่อจากคนสู่คนได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์
ตามปกติแล้ว ตัวโลนจะถูกพบตามเส้นขนบริเวณหัวหน่าวและอาศัยการดูดเลือดจากคนเพื่อประทังชีวิต แต่ในบางกรณีมันก็อาจจะสามารถเอาชีวิตรอดบนพื้นที่อื่นๆ ที่มีลักษณะเป็นขนคล้ายๆ กัน อย่างเช่นขนตาได้เช่นกัน
ปัญหาคือการพบตัวโลนบนขนตาแบบนี้โดยทั่วไปแล้วมักจะเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้คนเอาใบหน้าเข้าไปใกล้จุดเสี่ยงเท่านั้น ซึ่งในกรณีนี้การค้นพบดังกล่าวจึงทำให้ครอบครัวและเด็กสาวเองต้องถูกตรวจสอบว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหรือไม่เลย
โชคดีที่ทั้งตัวเด็กและครอบครัวดูจะไม่ได้มีเรื่องไม่ดีอะไร แถมพ่อแม่หรือของเธอเองก็ไม่ได้มีตัวโลนอยู่บนร่างกายเลยด้วย
ด้วยเหตุนี้เองทางทีมแพทย์จึงลงความเห็นกันว่าตัวโลนบนขนตาของเด็กคนนี้อาจจะติดมาจากกรณีแปลกในกรณีแปลกอีกทีแบบการติดจากวัตถุรอบตัว อย่างเสื้อหรือเตียงโดยตรง
และนับเป็นโชคดีมากที่ แม้นี่จะเป็นอาการที่หาได้ค่อนข้างยากก็ตาม แต่การรักษามันก็ไม่ได้ยากขนาดนั้น เพราะเพียงแค่แพทย์นำตัวโล้นและไข่ทั้งหมดที่ถูกพบออกจากขนตาของเธอไม่นานนักอาการของเด็กสาวก็กลับมาเป็นปกติดังเดิมในที่สุดนั่นเอง
เรื่องราวในครั้งนี้ได้รับการตีพิมพ์เป็นครั้งแรกในวารสาร New England Journal of Medicine เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2021
ที่มา gizmodo และ New England Journal of Medicine