ก่อนหน้านี้เราได้นำเสนอประเด็นซุ้มรับปริญญาของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์
(อ่านเพิ่มเติม: อาจารย์วิจิตรศิลป์ โพสต์ภาพ “ซุ้มวันรับปริญญา” ของคณะ เผย “ควรมีน้ำใจให้มากกว่านี้”)
ล่าสุด “ท่าน” คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก็ได้ออกมาชี้แจงประเด็นนี้ด้วยตัวเอง พร้อมเผยความจริงอีกด้าน
รศ.อัศวิณีย์ หวานจริง คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ออกมาชี้แจงประเด็นดังกล่าวผ่านทางเฟซบุ๊ก Asawinee Wanjing ระบุว่าข่าวซุ้มรับปริญญาที่กลายเป็นประเด็นก่อนหน้านี้ไม่เป็นความจริง
ทางคณะได้มีการจัดเตรียมต้อนรับบัณฑิตไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ตั้งแต่ปี 64 แล้ว ก่อนที่จะมีการเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ของจริงมีแต่คนชื่นชมมาถ่ายรูป
“ท่าน” คณบดียังบอกอีกว่า การนำภาพซุ้มรับปริญญาดังกล่าวไปทำข่าว ถือเป็นการสร้างข่าวเท็จ อันนำมาซึ่งการเข้าใจผิด ทำให้ทางคณะวิจิตรศิลป์เสียชื่อเสียง พร้อมบอกว่าอย่าด้อยค่าคนอื่น เพียงเพื่อให้ตัวเองได้เกิด ตรงกับสุภาษิตที่ว่า “คนดีชอบกระทำ คนระ_ำชอบติ”
ซุ้มรับปริญญาคณะวิจิตรศิลป์ มช. (สังเกตตัว U กับตัว I )
“…หิวแสงกันขนาดไหน หรืออยู่ในโคลนตมมานาน…
..เลิกหลอกลวงชาวโลกได้แล้ว ของจริงมีแต่คนชื่นชมมาถ่ายรูป ทุกวันนี้ ข่าวลวงลงง่าย คนง่าวก็เชื่อง่าย…
…คณะวิจิตรศิลป์ ได้มีการจัดเตรียมต้อนรับบัณฑิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ตั้งแต่ก่อน ตค.64 โดยการเขียนผนังอาคารโรงประลองฝั่งริมถนน เพื่อต้อนรับบัณฑิต (ก่อนที่จะมีการเลื่อนพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ครั้งที่ 55 )
…(ผนังจริงคือภาพที่เขียนเต็มบนผนัง) มิใช่ตามที่มีผู้เอาไปแอบอ้าง คนทำเค้าตั้งใจทำเพื่อต้อนรับให้บัณฑิตด้วยใจ ซึ่งปีนี้บางคณะก็มิได้มีจัดตกแต่งใดๆในคณะเลย
…ผู้นำเอาภาพไปโพสต์ ไปทำข่าว แบบนี้ ถือว่าสร้างข่าวเท็จ อันนำมาซึ่งการสร้างความเข้าใจผิด ทำให้คณะวิจิตรศิลป์เสียชื่อเสียง
…คนให้ข้อมูล ควรตักน้ำส่องดูเงาบ้าง ว่า เคยทำอะไรอันเป็นประโยชน์สร้างความสามัคคีแก่สังคมบ้าง นอกจากคอยนั่งวิจารณ์ สร้างความแตกแยกให้สังคมไปวันวัน
…อย่าด้อยค่าคนอื่น เพียงเพื่อให้ตัวเองได้เกิด ตรงกับสุภาษิตที่ว่า “คนดีชอบกระทำ คนระ_ำชอบติ” ถ้าพูดกันแบบภาษาสุภาพ คงไม่เข้าใจเพราะจิตตำ่เข้าไม่ถึง”
หลังจากโพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไปมีหลายคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น แต่ดูเหมือนว่าจะจำกัดให้แสดงความคิดเห็นเฉพาะบางคนเท่านั้น จึงทำให้มีหลายคนที่แชร์โพสต์ดังกล่าวออกไปและเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง
เรียบเรียงโดย #เหมียวเวจจี้