เด็กชายลูกครึ่งดัตช์-เบลเยียม กำลังเป็นกระแสบนโลกออนไลน์ของทางฝั่งสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่เพราะความเป็นอัจฉริยะ แต่จากการให้สัมภาษณ์ล่าสุดของเขาด้วย
เราขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ Laurent Simons จากเมือง Ostend เมืองชายฝั่งเล็กๆ ของเบลเยียมที่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเลย เขาเพิ่งอายุครบ 11 ขวบไปไม่นานนัก
แต่สิ่งที่ทำให้เราเรียกเขาว่าอัจฉริยะได้เต็มปากก็คือ น้องเพิ่งจะสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีสาขาฟิสิกส์ จาก University of Antwerp สถาบันระดับท็อปของประเทศ
(เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้น จากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก สถาบันดังกล่าวอยู่ในระดับพอๆ กันกับจุฬาฯ และ ม.มหิดล ของไทย)
University of Antwerp
เขาใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในการเริ่มต้นเรียน และจบการศึกษาในที่สุด ซึ่งโดยปกติทั่วไป คนอื่นๆ จะใช้เวลา 3 ปี ในการเล่าเรียนหลักสูตรดังกล่าว
“ผมไม่สนใจเท่าไรหรอกว่าผมจะเป็นคนที่เด็กที่สุดรึเปล่า? ผมเพียงแค่ต้องการแสวงหาความรู้มากยิ่งขึ้น”
“ผมเริ่มเรียนในเดือนเมษายนปีก่อน โดยเริ่มจากวิชากลศาสตร์ดั้งเดิม แล้วก็ฟิสิกส์ควอนตัม พอได้เริ่มเรียนแล้ว ผมก็อยากจะรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับมัน
ผมก็เลยหยุดงานอื่นๆ และกิจกรรมต่างๆ ที่ผมทำก่อนหน้านั้น เพื่อเรียนรู้หลักสูตรนี้โดยเฉพาะ” Laurent เปิดเผยกับ NOS สื่อของเนเธอร์แลนด์
“นี่คือสิ่งที่จะไปสู่เป้าหมายของผม ซึ่งนั่นก็คือเรียนรู้การเปลี่ยนชิ้นส่วนมนุษย์ ด้วยชิ้นส่วนจักรกลแทน”
“เพราะ ‘ความเป็นอมตะ’ คือเป้าหมาย ผมอยากจะก้าวไปสู่การเปลี่ยนชิ้นส่วนร่างกายทุกๆ ชิ้น มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ด้วยชิ้นส่วนจักรกล”
“ผมมีแผนผังเส้นทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ซึ่งคุณจะเห็นว่ามันเป็นความท้าทายอันยิ่งใหญ่ ฟิสิกส์ควอนตัมนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ เท่านั้น แต่ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จก้าวหนึ่งของแผนการนี้”
“ผมอยากจะทำงานร่วมกับศาสตราจารย์ที่เจ๋งที่สุดในโลก เรียนรู้จากพวกเขา และเข้าใจว่าพวกเขาคิดอะไร คิดอย่างไร”
เป้าหมายของ Laurent Simons หลังจากนี้ก็คือการเรียนต่อปริญญาโทด้านฟิสิกส์ จากสถาบันเดิม ซึ่งเขาตั้งเป้าว่าจะตั้งใจเรียนปริญญาเอกไปพร้อมกันโดยเร็วที่สุดด้วย
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น เขาใช้เวลาเพียง 1 ปีครึ่ง ในการจบหลักสูตรมัธยมปลาย ซึ่งเขาทำสำเร็จตอนอายุ 8 ขวบเท่านั้น
จากนั้นหนูน้อยก็ค้นหาสิ่งที่ตัวเองชอบ ก่อนที่ตอน 10 ขวบ จะตัดสินใจเข้าเรียนสาขาฟิสิกส์ และก็จบการศึกษาได้ในเวลาเพียงปีเดียว
อย่างไรก็ตาม ตามประสาชาวเน็ตอเมริกัน พอข่าวนี้กลายเป็นกระแสดัง ก็มีทั้งคอมเมนต์ชื่นชมความฉลาดของหนูน้อย และคอมเมนต์แซวถึงความอัจฉริยะ ที่เหมือนกับเส้นทางตัวร้ายในหนังซูเปอร์ฮีโร่
“เขาอาจจะหมดไฟในการเรียนต่อ หรือไม่ก็เป็นสุดยอดวายร้ายในอนาคต หวังว่าโลกของเราจะชนะการสุ่มครั้งนี้นะ”
.
“ผมเคยอ่านบทความที่พูดถึง ‘อาการหมดไฟ’ ของเหล่าเด็กอัจฉริยะ แล้วมีผลการสำรวจว่ามันสูงมากๆ”
.
“การเป็นเด็กอัจฉริยะ มันจะเริ่มได้รับความสนใจน้อยลง เมื่อคุณโตขึ้น เพราะคำว่าเด็กอัจฉริยะ มันก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป และบางทีพวกเขาก็โดนกดดันจากผู้คนรอบข้างมากพอควร จนหลายๆ คนหมดไฟไปในภายหลัง
ซึ่งก็หวังว่าน้องคนนี้ จะได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จนสามารถพัฒนาตัวเองไปได้อย่างไม่หยุดนะ”