รัฐบาลทหารเมียนมาร์ปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแผนการลอบสังหาร คยอว์ โมเอะ ตุน เอกอัครราชทูตเมียนมาร์ของ UN ในประเทศสหรัฐอเมริกา
โดยแถลงการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ผ่านสื่อของรัฐเมียนมาร์ ระบุว่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในประเทศสหรัฐอเมริกา และทางเมียนมาร์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้น
นอกจากนี้ยังปฏิเสธการกล่าวหาจากเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ของ UN ลินดา โทมัส-กรีนฟิลด์ ที่ระบุว่าเหตุการณ์แผนลอบสังหารสะท้อนให้เห็นรูปแบบของผู้นำเผด็จการและผู้สนับสนุนที่ต้องการข่มเหงฝ่ายตรงข้ามทั่วโลก
แผนลอบสังหารนี้คืออะไร?
ในวันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม 2021 สำนักงานอัยการสหรัฐฯ เปิดเผยว่าทำการตั้งข้อหาพลเรือนเมียนมาร์ 2 ราย ได้แก่ พิว เฮน ธู วัย 28 ปี และ เย เฮน ซอ วัย 20 ปี จากการวางแผน ‘ทำให้บาดเจ็บสาหัสหรือสังหาร คยอว์ โมเอะ ตุน” บนแผ่นดินสหรัฐอเมริกา
มีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่าทั้งคู่สมคบคิดกับพ่อค้าอาวุธในประเทศไทยที่ขายอาวุธให้กับกองทัพเมียนมาร์ เพื่อดำเนินการตามแผนดังกล่าว และต้องโทษจำคุกสูงสุด 5 ปี หากพบว่ามีความผิด
จากการรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์สระบุว่า พ่อค้าอาวุธได้คุยกับนายพิว เฮน ธู เกี่ยวกับการว่าจ้างลอบทำร้ายเอกอัครราชเพื่อบีบบังคับให้ออกจากตำแหน่ง
พ่อค้าอาวุธยังมีการเสนอให้คนร้ายทำการสังหารเอกอัครราชทูตหากเขาปฏิเสธที่จะทำเช่นนั้น
นอกจากนี้ นายพิว เฮน ธู กับพ่อค้าอาวุธสมคบคิดวางแผนเพื่อก่อวินาศกรรมกับรถยนต์ของเอกอัครราชทูต เพื่อสร้างสถานการณ์ทำให้ดูเหมือนเป็นอุบัติเหตุ
ส่วนสาเหตุที่ทำให้ คยอว์ โมเอะ ตุน ตกเป็นเป้าในการลอบสังหารนั้น คาดว่าเป็นเพราะเอกอัครราชทูตทำการเรียกร้องให้นานาชาติแทรกแซงประเทศเพื่อคืนสถานะรัฐบาลพลเรือนให้กับเมียนมาร์และเพื่อยุติความไม่สงบที่เกิดขึ้นในประเทศ
จากการแสดงจุดยืนในครั้งนั้นทำให้เขากลายเป็นที่ต้องการตัวในเมียนมาร์ด้วยข้อหาทรยศและหักหลัง ก่อนหน้านี้ก็เขาถูกไล่ออกจากตำแหน่งหลังจากแสดงจุดยืนใน UN ที่เรียกร้องให้นานาชาติใช้วิธีการใดๆ เพื่อหยุดยั้งการรัฐประหารในเมียนมาร์ แต่เขาไม่ยอมออกและทาง UN ก็ให้การสนับสนุนเขา
ตั้งแต่นั้นมาเอกอัครราชทูตได้กล่าวว่าเขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง แต่จะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานแน่นอน
นอกจากนี้ เขายังขอบคุณรัฐบาลสหรัฐฯ กระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายสำหรับความช่วยเหลือและการรับมือต่อเหตุการณ์ดังกล่าว “พวกเขาช่วยชีวิตผม และป้องกันภัยอันตรายที่กำลังจะเข้ามาหาผม”
ที่มา: reuters, justice.gov, asahi, cnn, nytimes